เว บ bk8
กลุ่มกบฎลิเบียพบโรงเก็บรถถัง กบฏลิเบียที่บุกเข้าไป
฿28795
บาท4
ห้องนอน
15
ห้องน้ำ
273
ตร.ม.
฿ 9141
/ ตารางเมตร
เว บ bk8
วันนี้ (2 ก.ย.2564) ตำรวจกองปราบปราม พร้อมกับกำลัง
UID: 95707
นับถอยหลัง ไม่เกินวันที่ 6 พ.ย.2024 ตามเวลาในประเทศไทย คาดจะทราบผลแพ้-ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหร
วันนี้ (5 ม.ค.2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกร
นับถอยหลัง ไม่เกินวันที่ 6 พ.ย.2024 ตามเวลาในประเทศไทย คาดจะทราบผลแพ้-ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และไม่ว่าจะเป็น คามาลา แฮร์ริส หรือ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นฝ่ายมีชัย แต่ก็จะมีคำถามตามมา หากเป็น "แฮร์ริส" อาจมีคำถามว่า ในฐานะเป็นประเทศต้นทางแห่งประชาธิปไตยจะฟื้นฟูภาพพจน์จากที่เคยเสียไปเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาหรือไม่ แต่ถ้าเป็น "ทรัมป์" ชนะ เขาจะเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่เป็น "อาชญากรรม" ได้รับการยกเว้นโทษเพื่อดำรงตำแหน่ง และจะทำให้ประชาธิปไตยระส่ำอีกครั้งหรือไม่ เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดงานเสวนา "US Election กับฉากทัศน์นโยบายต่างประเทศสหรัฐอเมริกา : นัยต่อโลกและอาเซียน" เพื่อวิพากษ์ วิเคราะห์ ประเมิน และคาดการณ์ผลกระทบในวงกว้างของการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 ทั้งในระดับปัจเจก ระหว่างประเทศ และการเมืองโลก ผลกระทบที่มีต่ออาเซียนและไทย ในฐานะพันธมิตรที่คอยจับตามองมาเสมอ โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนาประกอบด้วย ศ.ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ , ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , ศ.ดร.กิตติ ประเสริฐสุข คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ดร.ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อ่านข่าว : โค้งสุดท้ายหาเสียง "แฮร์ริส-ทรัมป์" มุ่งคว้าคะแนนรัฐสมรภูมิ ศ.ดร.กันตธีร์ กล่าวว่า ประชาธิปไตยเป็นเรื่องของการยอมรับความพ่ายแพ้ หากไม่มีสิ่งนี้ ความวุ่นวายทางการเมืองก็จะเกิดขึ้น และประชาธิปไตยก็จะไปไม่รอด แต่สำหรับทรัมป์แล้ว เป็นยิ่งกว่านั้น เขาจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่าย ๆ โดยเปิดเผยว่า หากแพ้ครั้งนี้ คือ มีการโกง และจะใช้สถาบันทางการเมืองโจมตีผู้ชนะกลับ หรือการปลุกมวลชนเข้ายึดทำเนียบขาวเมื่อ 4 ปีก่อน แต่หากชนะ จะมีคำถามว่า อาชญากร "ซักฟอก" ตนเองด้วยการเป็นประธานาธิบดีได้ เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นความท้าทายต่อ "คุณค่า" ของสหรัฐฯ ที่สั่งสมและป่าวประกาศต่อบรรดาประเทศอื่น ๆ ให้ปฏิบัติตาม เช่น ประชาธิปไตย หรือเสรีนิยม ทรัมป์ดูจะไม่ใส่ใจส่งเหล่านี้ การเจรจากับทรัมป์เป็นเรื่องที่ต้องสังเกต "นิสัยส่วนบุคคล" ล้วน ๆ ไม่มีคุณค่าใด ๆ เป็นที่ตั้ง ในฐานะอดีตรมว.ต่างประเทศ มองว่า สิ่งนี้ลุกลามมายังประเด็นด้านเศรษฐกิจการเมือง อย่างที่ทราบกันว่าทรัมป์ปกป้อง "ผลประโยชน์แห่งชาติ" ด้านการสร้างงานสร้างอาชีพให้ประชากรสหรัฐฯ วิพากษ์โลกาภิวัตน์และข้อตกลงการค้าเสรีว่ามาแย่งงานประชากรของเขาไป ต้องกีดกันทางการค้า ตั้งกำแพงภาษี เพิ่มค่าธรรมเนียมธุรกรรม (Transaction Cost) และไม่สนใจกิจการภายนอกประเทศ เช่น ความต้องการถอนตัวออกจากสมาชิก NATO ประเด็นพวกนี้ทำให้การสร้างพันธมิตรของสหรัฐฯ ต่อประเทศอื่น ๆ ย่ำแย่ตามไปด้วย ส่วน ศ.ดร.ไชยวัฒน์ กล่าวว่า ทั้งสองแคนดิเดตต่างปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติสหรัฐฯ ว่าด้วย "การยกระดับความมั่นคง" ไม่แตกต่างกัน แต่ต่างกันตรงวิธีการ แฮร์ริสยึดมั่นในหลักการและคุณค่าอย่างแน่นเหนียว ส่วนทรัมป์ไม่สนใจอะไรนอกจากเรื่องเศรษฐกิจและผลประโยชน์ทางการคลัง แม้แฮร์ริสอาจจะสืบสานปณิธานของไบเดนในเรื่องของการเปิดตลาดเสรี ลด Transaction Cost และกำแพงภาษี แต่การที่สหรัฐฯ จะได้เปรียบประเทศพันธมิตรคู่ค้าได้ ยังต้องคงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าเงินดอลาร์สหรัฐฯ ให้แข็งอยู่ดี แม้ในทางนโยบายจะไม่แตกต่างกัน แต่เวลาหาเสียง ทั้งสองต้องสร้างแนวร่วมและมวลชนของตนเอง ศิลปะในการโน้มน้าวจึงแตกต่างกัน ทรัมป์จะพูดอย่างหยาบคาย ปลุกระดมให้มวลมหาประชาชนฮึกเหิม สร้างศัตรู โดยเฉพาะจีน ทั้งที่จริง ๆ วัตถุดิบนำเข้าจากจีนทั้งนั้น หากไม่ทำเช่นนี้ ประชาชนก็ไม่เลือกเขา เช่นเดียวกับแฮร์ริสที่เน้นหาเสียงโดยอ้างอิงหลักการและคุณค่าต่าง ๆ ที่เคยเป็นมา และโจมตีทรัมป์ว่าทำลายความดีงานนี้ไปสิ้น อ่านข่าว : ศูนย์วิจัยกรุงศรีฯ ชี้บาทผันผวน ตลาดลุ้นผลเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ ศ.ดร.ไชยวัฒน์ ชวนคิดว่า การตัดสินผลแพ้ชนะให้พิจารณาที่ "นโยบายต่างประเทศในโลกอาหรับ" เป็นสำคัญ สังเกตจากมลรัฐมิชิแกน ที่มี "ชาวอาหรับอเมริกัน" อาศัยอยู่จำนวนมาก เมื่เว บ bk8อครั้งที่ จอร์จ เอช ดับเบิลยุ บุช สามารถนำกำลังทหารถล่มซัดดัม ฮุสเซน ในสงครามอิรัก ซึ่งถือว่าได้ใจอเมริกันชนอย่างมาก แต่กลับแพ้เลือกตั้งให้แก่ บิล คลินตัน เพราะไปกระทบจิตใจของอาหรับอเมริกัน เลือกตั้งครั้งนี้ อาหรับอเมริกันแอบมีใจให้ทรัมป์ เพราะเขาถือนโยบายไม่เข้าแทรกแซงด้วยกำลังทางทหาร ช่วยเหลือเท่าที่จำเป็น ความรุนแรงระดับสงครามจึงเกิดขึ้นได้ยาก ไม่เหมือนกับ โจ ไบเดน ที่ส่งกำลังทหารเข้าช่วยเหลืออิสราเอล ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับ เบนจามิน เนทันยาฮู สร้างความาขุ่นเคืองแก่อาหรับอเมริกันไม่มากก็น้อย ส่วนในเรื่องของการลดอัตราการว่างงาน ส่งผลให้บรรดากลุ่มเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ในสหรัฐฯ เช่น ชาวผิวสี หรือชาวละติน ต่างเทใจให้ทรัมป์แทบทั้งนั้น แม้ว่าทรัมป์จะมีพฤติกรรม "ขี้เหยียด (Racism)" ก็ตาม กระนั้น กลุ่มเผ่าพันธุ์ "เอเชีย" กลับเลือกแฮร์ริส ที่สมัยก่อนเทใจให้รีปับลิกัน เพราะเกลียดกลัว "คอมมิวนิสต์" แต่ในตอนนี้ วิธีคิดเปลี่ยนไป หันมาเลือกเดโมแครต ต้องไปศึกษาอีกที สอดคล้องกับ ศ.ดร.กิตติ ที่ชี้ว่า สงครามการค้าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดี หากแต่ทรัมป์ขึ้นมาโลกจะระส่ำระสายมากที่สุด เพราะทรัมป์ไม่สนใจสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต หรือไม่ก็เลือกสร้างความสัมพันธ์เฉพาะประเทศและเฉพาะเรื่อง แตกต่างกับแฮร์ริสที่จะสืบสานวิถีของไบเดนในแง่ "ความร่วมมือระดับย่อย ๆ (Minilateralism)" ทำให้เกิดแนวร่วมมหาศาล สร้างความกังวลต่อจีนและรัสเซียในแง่การปิดตลาดทางการค้าและคู่ค้า ด้านดร.ปองขวัญ วิเคราะห์นโยบายต่างประเทศ (Foreign Policy Analysis: FPA) โดยศึกษา "กระบวนการคิดและตัดสินใจ (Decision-making)" ของแคนดิเดตทั้งสองคน ว่า ไม่ควรอ่านพฤติกรรมของแคนดิเดตเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาพฤติกรรม "ทีมงานรอบข้าง" ที่จะเข้ามาเป็นผู้กำหนดนโยบาย (Policymakers) อีกด้วย เพราะทีมงานนั้นมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่แคนดิเดต ทำงานเชิงนโยบายในเชิงลึกกว่าแคนดิเดต ยกตัวอย่าง ทีมงานของแฮร์ริสที่จะเข้ามาเป็นผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (National Security Agency: NSA) นามว่า ฟีล กอร์ดอน จะมีความเป็น "สายพิราบ" เน้นกระชับความสัมพันธ์ ไม่เข้าพรวดหรือบุ่มบ่าม เน้นเจรจา ไม่เน้นแทรกแซง ตรงนี้ ทำให้อ่านพฤติกรรมได้ว่า แฮร์ริสจะกำหนดนโยบายทางกลาโหมในเชิงรับเช่นกัน ส่วนทรัมป์นั้นมีพฤติกรรมที่ออกไปทางลักษณะ "หลงตนเอง (Narcissism)" ดังนั้น เขาจะไม่ค่อยฟังทีมงานมากนัก ไม่มีหลักการ และไม่สามารถคาดการณ์ได้ เราจึงอนุมานการกำหนดนโยบายของทรัมป์จากบุคลิกลักษณะส่วนบุคคล ซึ่งสังเกตได้ว่า เขาชอบให้ผู้คนชมว่าฉลาด ว่าเก่ง ว่ามีความสามารถ หรือเรียกง่าย ๆ "บ้ายอ" เขาจึงไม่ค่อยวิพากษ์ปูติน เพราะต่างฝ่ายต่างยกยอซึ่งกันและกัน ดร.ปองขวัญ เพิ่มเติมว่า ประชาชนสหรัฐฯ ไม่ได้สนใจกระบวนการกำหนดนโยบายมากเท่าไร สนใจเพียงแต่ว่าใครได้เป็นรัฐบาล เป็นพรรคที่ใช่คนที่ชอบหรือไม่ หากใช่ก็พร้อมจะสนับสนุนอย่างไม่ลืมหูลืมตา ดังนั้น แคนดิเดตสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด จะฟังหรือไม่ฟังทีมงานย่อมได้ ไม่มี สส. หรือ สว. ที่มาจากการเลือกตั้งทัดทาน นอกจากนี้ ดร.ปองขวัญ กล่าวอีกว่า ต้องไม่ลืมประเด็นเรื่อง "เจเนอเรชั่น" เพราะมุมมองของแต่ละช่วงวัยนั้นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ "ประสบการณ์" ที่พบเจอ สาเหตุที่ทรัมป์ได้ใจ เจน Y และเจน Z บางส่วนนั้น มาจากประสบการณ์ที่สหรัฐฯ เข้าแทรกแซงและใช้กำลังทางทหารต่อบรรดาโลกอาหรับอย่างทารุณ หรือประสบการณ์ด้านบริหารจัดการโควิดที่รัฐชาติมีบทบาทมากกว่าความร่วมมือ เมื่อกลับมาพิจารณาภาคส่วนใกล้ตัวอย่างอาเซียนและประเทศไทย วิทยากรต่างเห็นพ้องกันว่า "ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นน้อยหรือแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย" ส่วนหนึ่งเพราะภูมิภาคและประเทศของเราส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ ไม่มากนัก ไม่เหมือนยุโรป อาหรับ และจีน ที่เป็นจุดโฟกัสของสหรัฐฯ มากกว่าเรา ศ.ดร.กันตธีร์ ชี้ว่า เรื่องภาษี และ Transaction Cost คือสิ่งที่จะมีความเปลี่ยนแปลงมากที่สุด หากได้ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี เราจะส่งออกได้ยากขึ้น ขายของได้ยากขึ้น หากได้แฮร์ริส ก็จะยังมีกำแพงตรงนี้ แต่ไม่ได้เข้มข้นเท่ากับทรัมป์ สอดคล้องกับ ศ.ดร.ไชยวัฒน์ ที่ชี้ว่า ในฐานะที่ไทยมีการส่งออกสู่สหรัฐฯ เป็นตลาดลำดับที่ 2 ของประเทศ อย่างไรก็ได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย ดังนั้น จึงต้องหันกลับมาสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อประเทศในภูมิภาคกันเอง เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองทางการค้า เช่น การเกิดขึ้นของ Free and Open Indo-Pacific หรือ FOIP "ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เราต้องปรับตัวทั้งนั้น ที่ทรัมป์เสนอว่า America First อาจหมายถึง America Alone หรือไม่?" ศ.ดร.ไชยวัฒน์ กล่าว ส่วน ศ.ดร.กิตติ เสนอว่า ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกมีข้อเรียกร้องให้ก่อตั้ง Asia NATO ขึ้นมาเพื่อดูแลความมั่นคงในภูมิภาคกันเอง ผลมาจากการที่ทรัมป์ต้องการถอนตัวจากสมาชิกภาพ NATO ดังนั้น จึงคาดการณ์ว่า ภูมิภาคนี้ต้องการแฮร์ริส เพราะจะทำให้เกิดความมั่นคงทางการทหารเพิ่มมากขึ้น ความร่วมมือในระดับย่อย ๆ จะเพิ่มมากขึ้น ตรงนี้ อาจจะเป็นโอกาสของไทยในอนาคตอันใกล้ ท้ายสุด ศ.ดร.ไชยวัฒน์ แนะนำ "อัลลัน ลิชท์แมน (Allan Lichtman)" นักประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ ที่สร้างโมเดลทางประวัติศาสตร์ "13 เงื่อนไข สู่การเป็นประธานาธิบดี (The Keys to the White House) " โดยทำนายผลการเลือกตั้งถูกแทบจะทั้งหมด 10 ครั้งจาก 11 ครั้ง คิดเป็นอัตราร้อยละ 90.90 โดยครั้งนี้ทายว่าแฮร์ริสจะชนะ แต่อย่าฟันธงอะไรง่าย ๆ ต้องดูองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง ไม่มีใครทราบว่า อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น …โมเดลทางประวัติศาสตร์ของลิชท์แมนนั้นมีลักษณะเป็น Determinism หมายถึง เขาคิดว่าประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลง เป็นอย่างไรก็อย่างนั้น ทั้งที่จริง ๆ อาจจะมีมาก กว่า 13 เงื่อนไขที่เสนอมา หากกระนั้น ผู้คนก็เชื่อเขา ในเมื่อเขาทายถูกทั้งหมด ผู้คนจะจดจำแต่สิ่งที่ดี เว้นเสียแต่ เกิดความผิดพลาดขึ้นมาในการเลือกตั้งครั้งนี้ อ่านข่าวนักวิเคราะห์ชี้หาก "ทรัมป์" ชนะ ชาวอเมริกันเผชิญการเปลี่ยนแปลง ทุกเสียงมีค่า! NASA พาคะแนนโหวตประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับมาได้ สหรัฐฯ-จีน โจทย์ท้าทายประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47
วันนี้ (24 ส.ค.2564) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย
นับถอยหลัง ไม่เกินวันที่ 6 พ.ย.2024 ตามเวลาในประเทศไทย คาดจะทราบผลแพ้-ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหร
วันนี้ (5 ม.ค.2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกร
นับถอยหลัง ไม่เกินวันที่ 6 พ.ย.2024 ตามเวลาในประเทศไทย คาดจะทราบผลแพ้-ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และไม่ว่าจะเป็น คามาลา แฮร์ริส หรือ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นฝ่ายมีชัย แต่ก็จะมีคำถามตามมา หากเป็น "แฮร์ริส" อาจมีคำถามว่า ในฐานะเป็นประเทศต้นทางแห่งประชาธิปไตยจะฟื้นฟูภาพพจน์จากที่เคยเสียไปเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาหรือไม่ แต่ถ้าเป็น "ทรัมป์" ชนะ เขาจะเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่เป็น "อาชญากรรม" ได้รับการยกเว้นโทษเพื่อดำรงตำแหน่ง และจะทำให้ประชาธิปไตยระส่ำอีกครั้งหรือไม่ เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดงานเสวนา "US Election กับฉากทัศน์นโยบายต่างประเทศสหรัฐอเมริกา : นัยต่อโลกและอาเซียน" เพื่อวิพากษ์ วิเคราะห์ ประเมิน และคาดการณ์ผลกระทบในวงกว้างของการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 ทั้งในระดับปัจเจก ระหว่างประเทศ และการเมืองโลก ผลกระทบที่มีต่ออาเซียนและไทย ในฐานะพันธมิตรที่คอยจับตามองมาเสมอ โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนาประกอบด้วย ศ.ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ , ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , ศ.ดร.กิตติ ประเสริฐสุข คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ดร.ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อ่านข่าว : โค้งสุดท้ายหาเสียง "แฮร์ริส-ทรัมป์" มุ่งคว้าคะแนนรัฐสมรภูมิ ศ.ดร.กันตธีร์ กล่าวว่า ประชาธิปไตยเป็นเรื่องของการยอมรับความพ่ายแพ้ หากไม่มีสิ่งนี้ ความวุ่นวายทางการเมืองก็จะเกิดขึ้น และประชาธิปไตยก็จะไปไม่รอด แต่สำหรับทรัมป์แล้ว เป็นยิ่งกว่านั้น เขาจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่าย ๆ โดยเปิดเผยว่า หากแพ้ครั้งนี้ คือ มีการโกง และจะใช้สถาบันทางการเมืองโจมตีผู้ชนะกลับ หรือการปลุกมวลชนเข้ายึดทำเนียบขาวเมื่อ 4 ปีก่อน แต่หากชนะ จะมีคำถามว่า อาชญากร "ซักฟอก" ตนเองด้วยการเป็นประธานาธิบดีได้ เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นความท้าทายต่อ "คุณค่า" ของสหรัฐฯ ที่สั่งสมและป่าวประกาศต่อบรรดาประเทศอื่น ๆ ให้ปฏิบัติตาม เช่น ประชาธิปไตย หรือเสรีนิยม ทรัมป์ดูจะไม่ใส่ใจส่งเหล่านี้ การเจรจากับทรัมป์เป็นเรื่องที่ต้องสังเกต "นิสัยส่วนบุคคล" ล้วน ๆ ไม่มีคุณค่าใด ๆ เป็นที่ตั้ง ในฐานะอดีตรมว.ต่างประเทศ มองว่า สิ่งนี้ลุกลามมายังประเด็นด้านเศรษฐกิจการเมือง อย่างที่ทราบกันว่าทรัมป์ปกป้อง "ผลประโยชน์แห่งชาติ" ด้านการสร้างงานสร้างอาชีพให้ประชากรสหรัฐฯ วิพากษ์โลกาภิวัตน์และข้อตกลงการค้าเสรีว่ามาแย่งงานประชากรของเขาไป ต้องกีดกันทางการค้า ตั้งกำแพงภาษี เพิ่มค่าธรรมเนียมธุรกรรม (Transaction Cost) และไม่สนใจกิจการภายนอกประเทศ เช่น ความต้องการถอนตัวออกจากสมาชิก NATO ประเด็นพวกนี้ทำให้การสร้างพันธมิตรของสหรัฐฯ ต่อประเทศอื่น ๆ ย่ำแย่ตามไปด้วย ส่วน ศ.ดร.ไชยวัฒน์ กล่าวว่า ทั้งสองแคนดิเดตต่างปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติสหรัฐฯ ว่าด้วย "การยกระดับความมั่นคง" ไม่แตกต่างกัน แต่ต่างกันตรงวิธีการ แฮร์ริสยึดมั่นในหลักการและคุณค่าอย่างแน่นเหนียว ส่วนทรัมป์ไม่สนใจอะไรนอกจากเรื่องเศรษฐกิจและผลประโยชน์ทางการคลัง แม้แฮร์ริสอาจจะสืบสานปณิธานของไบเดนในเรื่องของการเปิดตลาดเสรี ลด Transaction Cost และกำแพงภาษี แต่การที่สหรัฐฯ จะได้เปรียบประเทศพันธมิตรคู่ค้าได้ ยังต้องคงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าเงินดอลาร์สหรัฐฯ ให้แข็งอยู่ดี แม้ในทางนโยบายจะไม่แตกต่างกัน แต่เวลาหาเสียง ทั้งสองต้องสร้างแนวร่วมและมวลชนของตนเอง ศิลปะในการโน้มน้าวจึงแตกต่างกัน ทรัมป์จะพูดอย่างหยาบคาย ปลุกระดมให้มวลมหาประชาชนฮึกเหิม สร้างศัตรู โดยเฉพาะจีน ทั้งที่จริง ๆ วัตถุดิบนำเข้าจากจีนทั้งนั้น หากไม่ทำเช่นนี้ ประชาชนก็ไม่เลือกเขา เช่นเดียวกับแฮร์ริสที่เน้นหาเสียงโดยอ้างอิงหลักการและคุณค่าต่าง ๆ ที่เคยเป็นมา และโจมตีทรัมป์ว่าทำลายความดีงานนี้ไปสิ้น อ่านข่าว : ศูนย์วิจัยกรุงศรีฯ ชี้บาทผันผวน ตลาดลุ้นผลเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ ศ.ดร.ไชยวัฒน์ ชวนคิดว่า การตัดสินผลแพ้ชนะให้พิจารณาที่ "นโยบายต่างประเทศในโลกอาหรับ" เป็นสำคัญ สังเกตจากมลรัฐมิชิแกน ที่มี "ชาวอาหรับอเมริกัน" อาศัยอยู่จำนวนมาก เมื่เว บ bk8อครั้งที่ จอร์จ เอช ดับเบิลยุ บุช สามารถนำกำลังทหารถล่มซัดดัม ฮุสเซน ในสงครามอิรัก ซึ่งถือว่าได้ใจอเมริกันชนอย่างมาก แต่กลับแพ้เลือกตั้งให้แก่ บิล คลินตัน เพราะไปกระทบจิตใจของอาหรับอเมริกัน เลือกตั้งครั้งนี้ อาหรับอเมริกันแอบมีใจให้ทรัมป์ เพราะเขาถือนโยบายไม่เข้าแทรกแซงด้วยกำลังทางทหาร ช่วยเหลือเท่าที่จำเป็น ความรุนแรงระดับสงครามจึงเกิดขึ้นได้ยาก ไม่เหมือนกับ โจ ไบเดน ที่ส่งกำลังทหารเข้าช่วยเหลืออิสราเอล ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับ เบนจามิน เนทันยาฮู สร้างความาขุ่นเคืองแก่อาหรับอเมริกันไม่มากก็น้อย ส่วนในเรื่องของการลดอัตราการว่างงาน ส่งผลให้บรรดากลุ่มเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ในสหรัฐฯ เช่น ชาวผิวสี หรือชาวละติน ต่างเทใจให้ทรัมป์แทบทั้งนั้น แม้ว่าทรัมป์จะมีพฤติกรรม "ขี้เหยียด (Racism)" ก็ตาม กระนั้น กลุ่มเผ่าพันธุ์ "เอเชีย" กลับเลือกแฮร์ริส ที่สมัยก่อนเทใจให้รีปับลิกัน เพราะเกลียดกลัว "คอมมิวนิสต์" แต่ในตอนนี้ วิธีคิดเปลี่ยนไป หันมาเลือกเดโมแครต ต้องไปศึกษาอีกที สอดคล้องกับ ศ.ดร.กิตติ ที่ชี้ว่า สงครามการค้าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดี หากแต่ทรัมป์ขึ้นมาโลกจะระส่ำระสายมากที่สุด เพราะทรัมป์ไม่สนใจสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต หรือไม่ก็เลือกสร้างความสัมพันธ์เฉพาะประเทศและเฉพาะเรื่อง แตกต่างกับแฮร์ริสที่จะสืบสานวิถีของไบเดนในแง่ "ความร่วมมือระดับย่อย ๆ (Minilateralism)" ทำให้เกิดแนวร่วมมหาศาล สร้างความกังวลต่อจีนและรัสเซียในแง่การปิดตลาดทางการค้าและคู่ค้า ด้านดร.ปองขวัญ วิเคราะห์นโยบายต่างประเทศ (Foreign Policy Analysis: FPA) โดยศึกษา "กระบวนการคิดและตัดสินใจ (Decision-making)" ของแคนดิเดตทั้งสองคน ว่า ไม่ควรอ่านพฤติกรรมของแคนดิเดตเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาพฤติกรรม "ทีมงานรอบข้าง" ที่จะเข้ามาเป็นผู้กำหนดนโยบาย (Policymakers) อีกด้วย เพราะทีมงานนั้นมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่แคนดิเดต ทำงานเชิงนโยบายในเชิงลึกกว่าแคนดิเดต ยกตัวอย่าง ทีมงานของแฮร์ริสที่จะเข้ามาเป็นผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (National Security Agency: NSA) นามว่า ฟีล กอร์ดอน จะมีความเป็น "สายพิราบ" เน้นกระชับความสัมพันธ์ ไม่เข้าพรวดหรือบุ่มบ่าม เน้นเจรจา ไม่เน้นแทรกแซง ตรงนี้ ทำให้อ่านพฤติกรรมได้ว่า แฮร์ริสจะกำหนดนโยบายทางกลาโหมในเชิงรับเช่นกัน ส่วนทรัมป์นั้นมีพฤติกรรมที่ออกไปทางลักษณะ "หลงตนเอง (Narcissism)" ดังนั้น เขาจะไม่ค่อยฟังทีมงานมากนัก ไม่มีหลักการ และไม่สามารถคาดการณ์ได้ เราจึงอนุมานการกำหนดนโยบายของทรัมป์จากบุคลิกลักษณะส่วนบุคคล ซึ่งสังเกตได้ว่า เขาชอบให้ผู้คนชมว่าฉลาด ว่าเก่ง ว่ามีความสามารถ หรือเรียกง่าย ๆ "บ้ายอ" เขาจึงไม่ค่อยวิพากษ์ปูติน เพราะต่างฝ่ายต่างยกยอซึ่งกันและกัน ดร.ปองขวัญ เพิ่มเติมว่า ประชาชนสหรัฐฯ ไม่ได้สนใจกระบวนการกำหนดนโยบายมากเท่าไร สนใจเพียงแต่ว่าใครได้เป็นรัฐบาล เป็นพรรคที่ใช่คนที่ชอบหรือไม่ หากใช่ก็พร้อมจะสนับสนุนอย่างไม่ลืมหูลืมตา ดังนั้น แคนดิเดตสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด จะฟังหรือไม่ฟังทีมงานย่อมได้ ไม่มี สส. หรือ สว. ที่มาจากการเลือกตั้งทัดทาน นอกจากนี้ ดร.ปองขวัญ กล่าวอีกว่า ต้องไม่ลืมประเด็นเรื่อง "เจเนอเรชั่น" เพราะมุมมองของแต่ละช่วงวัยนั้นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ "ประสบการณ์" ที่พบเจอ สาเหตุที่ทรัมป์ได้ใจ เจน Y และเจน Z บางส่วนนั้น มาจากประสบการณ์ที่สหรัฐฯ เข้าแทรกแซงและใช้กำลังทางทหารต่อบรรดาโลกอาหรับอย่างทารุณ หรือประสบการณ์ด้านบริหารจัดการโควิดที่รัฐชาติมีบทบาทมากกว่าความร่วมมือ เมื่อกลับมาพิจารณาภาคส่วนใกล้ตัวอย่างอาเซียนและประเทศไทย วิทยากรต่างเห็นพ้องกันว่า "ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นน้อยหรือแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย" ส่วนหนึ่งเพราะภูมิภาคและประเทศของเราส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ ไม่มากนัก ไม่เหมือนยุโรป อาหรับ และจีน ที่เป็นจุดโฟกัสของสหรัฐฯ มากกว่าเรา ศ.ดร.กันตธีร์ ชี้ว่า เรื่องภาษี และ Transaction Cost คือสิ่งที่จะมีความเปลี่ยนแปลงมากที่สุด หากได้ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี เราจะส่งออกได้ยากขึ้น ขายของได้ยากขึ้น หากได้แฮร์ริส ก็จะยังมีกำแพงตรงนี้ แต่ไม่ได้เข้มข้นเท่ากับทรัมป์ สอดคล้องกับ ศ.ดร.ไชยวัฒน์ ที่ชี้ว่า ในฐานะที่ไทยมีการส่งออกสู่สหรัฐฯ เป็นตลาดลำดับที่ 2 ของประเทศ อย่างไรก็ได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย ดังนั้น จึงต้องหันกลับมาสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อประเทศในภูมิภาคกันเอง เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองทางการค้า เช่น การเกิดขึ้นของ Free and Open Indo-Pacific หรือ FOIP "ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เราต้องปรับตัวทั้งนั้น ที่ทรัมป์เสนอว่า America First อาจหมายถึง America Alone หรือไม่?" ศ.ดร.ไชยวัฒน์ กล่าว ส่วน ศ.ดร.กิตติ เสนอว่า ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกมีข้อเรียกร้องให้ก่อตั้ง Asia NATO ขึ้นมาเพื่อดูแลความมั่นคงในภูมิภาคกันเอง ผลมาจากการที่ทรัมป์ต้องการถอนตัวจากสมาชิกภาพ NATO ดังนั้น จึงคาดการณ์ว่า ภูมิภาคนี้ต้องการแฮร์ริส เพราะจะทำให้เกิดความมั่นคงทางการทหารเพิ่มมากขึ้น ความร่วมมือในระดับย่อย ๆ จะเพิ่มมากขึ้น ตรงนี้ อาจจะเป็นโอกาสของไทยในอนาคตอันใกล้ ท้ายสุด ศ.ดร.ไชยวัฒน์ แนะนำ "อัลลัน ลิชท์แมน (Allan Lichtman)" นักประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ ที่สร้างโมเดลทางประวัติศาสตร์ "13 เงื่อนไข สู่การเป็นประธานาธิบดี (The Keys to the White House) " โดยทำนายผลการเลือกตั้งถูกแทบจะทั้งหมด 10 ครั้งจาก 11 ครั้ง คิดเป็นอัตราร้อยละ 90.90 โดยครั้งนี้ทายว่าแฮร์ริสจะชนะ แต่อย่าฟันธงอะไรง่าย ๆ ต้องดูองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง ไม่มีใครทราบว่า อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น …โมเดลทางประวัติศาสตร์ของลิชท์แมนนั้นมีลักษณะเป็น Determinism หมายถึง เขาคิดว่าประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลง เป็นอย่างไรก็อย่างนั้น ทั้งที่จริง ๆ อาจจะมีมาก กว่า 13 เงื่อนไขที่เสนอมา หากกระนั้น ผู้คนก็เชื่อเขา ในเมื่อเขาทายถูกทั้งหมด ผู้คนจะจดจำแต่สิ่งที่ดี เว้นเสียแต่ เกิดความผิดพลาดขึ้นมาในการเลือกตั้งครั้งนี้ อ่านข่าวนักวิเคราะห์ชี้หาก "ทรัมป์" ชนะ ชาวอเมริกันเผชิญการเปลี่ยนแปลง ทุกเสียงมีค่า! NASA พาคะแนนโหวตประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับมาได้ สหรัฐฯ-จีน โจทย์ท้าทายประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47
วันนี้ (24 ส.ค.2564) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย
สิ่งอำนวยความสะดวก
การตกแต่ง
เครื่องปรับอากาศ
ชั้นบน
เตาอบ/ไมโครเวฟ
ความสะดวกโดยรอบ
กล้องวงจรปิด
เครืองปรับอากาศ
โถงรอลิฟท์ร้านอาหาร
ทางเข้าหลัก
ยอดสินเชื่อโดยประมาณ
รายละเอียดสินเชื่อ
ยอดสินเชื่อที่ต้องชำระต่อเดือนโดยประมาณ
฿ 0 / เดือน
฿ 0 เงินต้น
฿ 0 ดอกเบี้ย
ค่าใช้จ่ายที่อาจต้องมีเบื้องต้น
เงินดาวน์ทั้งหมด
฿ 0
เงินดาวน์
จำนวนสินเชื่อ ฿ 0 ในอัตรา 0% ของสินเชื่อต่อราคาบ้าน (Loan-to-value)
วันนี้ (16 ก.ย.2567) เวลา 18.10 น. ทีมข่าวไทยพีบีเ

วันนี้ (3 พ.ย.2565) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมการให้บริการผู้โดยสารขาเข้าและขาออก และการเตรียมความพร้อมการอำนวยความสะดวก ในโอกาสที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภ
ดูรายละเอียดโครงการคำถามที่พบบ่อย
วันนี้ (20 มี.ค.2564) น.ส.รุจิรา อารินทร์ ผู้อำนวยการเขตบางแค ขอความร่วมมือประชาชนที่รับบัตรคิวตรวจค
วันนี้ (10 ม.ค.2565) คริปโตเคอร์เรนซี หรือสกุลเงินดิจิทัล เริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในวงกว้
วันนี้ (23 ม.ค.2568) นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวถึงการแก้ไข พ.ร.
วันนี้ (11 พ.ย.2567) ตัวแทนคณะศิษยานุศิษย์ที่น้อมนำธรรมองค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เดินทางไปธนาค
วันนี้ (10 เม.ย.2567) เมื่อเวลา 13.00 น. ความคืบหน้าหลังกองกำลังกะเหรี่ยง KNU และกองกำลังปกป้องประชา
ค้นหาประกาศอื่นรอบๆ ทุ่งพญาไท
จากสิ่งที่คุณค้นหา คุณอาจจะสนใจตัวเลือกต่อไปนี้
dafabet logos