วันนี้ (30 ม.ค.2567) พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหา 3 ใน 9 คนที่ถูกออก
วันนี้ (28 มี.ค.2568) เวลา 18.30 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อาคารกำลังก่อสร้างถล่ม จากเหตุแผ่นดินไหว เขตจตุจักร โดย นายกรัฐมนตรีขอให้ระดมทุกฝ่ายร่วมช่วยเหลือผู้ติดอยู
ไทยพีบีเอสออนไลน์สัมภาษณ์ ผศ.ดร.ศิริรัตน์ โกศการิกา อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในมุมมองด้านการตลาดพบว่า แบรนด์สินค้า องค์กรหรือศิลปิน จะมีการใช้กลยุทธ์ทางการตลาด Cause Related Marketing หรือ การตลาดอิงกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ ซึ่งเป็นการทำกิจกรรมทางการตลาดรูปแบบหนึ่งของแบรนด์ ในการช่วยเหลือสังคม ในช่วงที่สังคมเดือดร้อนหรือเกิดวิกฤต การทำการตลาดเช่นนี้จะส่งผลให้ผู้บริโภค หรือลูกค้าของแบรนด์เกิดความรักและรู้สึกดีในแบรนด์และตัวบุคคลมากยิ่งขึ้น เพราะแบรนด์จะเป็น “ฮีโร่” ในใจของลูกค้านั่นเอง อย่างไรก็ดี คอนเซปต์การตลาดแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ของสังคมไทย ซึ่งเป็นสังคมแห่งการช่วยเหลือ แบ่งปัน ซึ่งหากมองในมุมของพุทธศาสนา การช่วยเหลือก็เหมือนการทำบุญ และการทำบุญนั้นก็แบ่งได้ใหญ่ ๆ 2 ประเภท คือ ทำด้วยทุนทรัพย์ตัวเองทั้งหมด หรือเป็นสะพานบุญในการบอกบุญคนอื่นๆให้มาร่วมกัน คล้ายๆกับการทอดผ้าป่าสามัคคี ในมุมมองของนักวิชาการด้านการตลาด มองว่า การระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่การที่จะระดมทุนให้ไม่เกิดความเคลือบแคลง และข้อกังขาต่างๆ จะต้องพิจารณาองค์ประกอบให้ครบทั้ง 3 ส่วน ได้แก่ 1) ช่วงเวลาที่จะจัดกิจกรรมระดมทุน ต้องสอดคล้อง เหมาะสมกับกิจกรรม 2) บริบทของสังคมในช่วงนั้นๆ ว่ามีทิศทางเป็นอย่างไร และ 3) ความจำเป็นและเร่งด่วนของหน่วยงานที่ได้รับการบริจาค ซึ่งจะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปไม่ได้เลย ผศ.ดร.ศิริรัตน์ ขยายความว่า ปัจจัยสำคัญในการทำ Cause Related Marketing ซึ่งประกอบด้วย ช่วงเวลา บริบทของสังคม ณ ขณะนั้น และความจำเป็นและเร่งด่วนของหน่วยงานที่ได้รับการบริจาคนั้น น้ำหนักจะเทไปที่ความเร่งด่วนของหน่วยงานที่รับบริจาค หากเดือดร้อนจริง มีความจำเป็นก็เดินหน้าทำได้เต็มที่ ไม่มีดรามาตามมาแน่นอน แต่หากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ฉุกเฉิน แล้วเกิดสถานการณ์ที่ฉุกเฉินมากกว่า ก็อาจจะทำให้เกิดความเห็นต่างได้ เพราะยุคนี้เป็นยุคแห่งการแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่เพียงผู้บริจาคเท่านั้น แต่ผู้รับบริจาคก็เป็นส่วนที่สังคมให้ความสนใจด้วยเช่นกัน หน่วยงานที่รับบริจาคมีความจำเป็น ขาดแคลน และต้องใช้อย่างฉุกเฉินหรือไม่ หากขาดแคลนจริงคนไทยซึ่งเป็นคนมีจิตอาสาก็พร้อมจะเข้าช่วยเหลืออยู่แล้ว นอกจากนี้ เมื่อเปิดรับบริจาคแล้ว การมีบัญชีที่ชัดเจนก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และบัญชีนั้นไม่ควรเป็นบัญชีส่วนตัวของใคร อาจเป็นบัญชีของมูลนิธิหรือบัญชีหน่วยงานที่ต้องการเงินบริจาค ส่วนกระบวนการใช้เงินก็ต้องชัดเจน แจกแจงได้ทั้งหมดเพื่อให้สังคมคลายความสงสัย หัวใจสำคัญคือการสื่อสาร เมื่อดึงทุกคนในสังคมมาร่วมกันทำบุญแล้ว ก็ต้องให้พื้นที่กับทุกคนด้วย ไม่ใช่การสาดแสงสปอร์ตไลต์ไปที่คนใดคนหนเกมส์ พนัน ได้ เงิน จริงึ่ง ส่วนกรณีการเห็นข่าวการบริจาคของผู้มีชื่อเสียงในนามส่วนตัวน้อยกว่าการจัดกิจกรรมระดมทุนนั้น ผศ.ดร.ศิริรัตน์ ให้ความเห็นว่า "ประเทศไทยเป็นสังคมแห่งคอนเทนต์ การทำโปรเจกต์มีคอนเทนต์และพื้นที่สื่อยาวนานกว่าการบริจาคที่ไปถ่ายได้แค่รูปเดียว" อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด มองว่า สื่อมวลชนมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดกระแสการระดมทุน เพราะมีการให้พื้นที่นำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่อง แต่หากมีการนำเสนอการบริจาคโดยไม่คำนึงถึงยอดบริจาค หรือบอกว่าศิลปินคนนี้มีเงินไม่มาก แต่แบ่ง 5% ของรายได้บริจาค ก็อาจจะทำให้คนทำบุญในรูปแบบอื่นเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วเชื่อว่ามีศิลปิน ดารา หรือคนดังทำบุญ ทำความดีโดยไม่ออกสื่ออยู่มาก แต่ในส่วนที่ออกสื่อเป็นการทำแคมเปญหรือโปรเจกต์ใหญ่ "ทำให้แคมเปญเหล่านี้ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด" ผศ.ดร.ศิริรัตน์ ทิ้งท้ายกับไทยพีบีเอสออนไลน์ว่า การทำการตลาดมีหลากหลายรูปแบบ แต่สิ่งที่ "โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์" กำลังถูกสังคมตั้งคำถามนั้น อาจมาจากหลายองค์ประกอบ ทั้งเรื่องของเวลาที่จัดกิจกรรม ที่เป็นช่วงฤดูฝน น้ำในแม่น้ำโขงอาจจะเชี่ยว และเกิดอันตรายในการว่ายน้ำในครั้งนี้ รวมไปถึงความจำเป็น และเร่งด่วนของหน่วยงานที่รับบริจาค ที่บางมุมของสังคมอยากเห็นรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งการชี้แจงข้อมูลต่าง ๆ ต่อสังคม ด้วยความรวดเร็ว กระชับ โปร่งใส เป็นสิ่งที่จะลดการเกิดคำถามของสังคมได้เป็นอย่างดี
ไทยพีบีเอสออนไลน์สัมภาษณ์ ผศ.ดร.ศิริรัตน์ โกศการิกา อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในมุมมองด้านการตลาดพบว่า แบรนด์สินค้า องค์กรหรือศิลปิน จะมีการใช้กลยุทธ์ทางการตลา