วันนี้ (20 มิ.ย.2564) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยะลา

วันนี้ (21 ก.ค.66) เข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 แล้ว ที่โรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์ ออกข้อกำหนดให้นักเรียนสามารถแต่งชุดใดก็ได้มาเรียนทุกวันศุกร์ หลังจากมีการหารือร่วมกันระหว่างครู เครือข่ายผู้ปกครอง และตัวแทนนักเ
วันนี้ (28 เม.ย.2566) นายเสรี นาคบุญ หัวหน้าศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าเขาน้ำพุ เปิดเผยข่าวดี ลูกวัวแดงเกิดใหม่ตัวเมีย ตั้งชื่อว่าน้อง "กอบการ" แทนความหมายการอนุรักษ์น้องวัวแดง ที่มีมวลชนฯ และภาคีเค
“ไทยพีบีเอส” พูดคุยกับชายชาวโรฮิงญาวัย 22 ปีที่ใช้ชีวิตในค่ายผู้ลี้ภัยมาทั้งชีวิต “ลำบาก อยุติธรรม และไร้ความหวัง” คือ 3 คำที่เขาบรรยายชีวิตผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ ภาพค่ายผู้ลี้ภัยกุตาปาลอง ประเทศบังกลาเทศ ภาพจาก © UNHCR/Roger Arnold ภาพค่ายผู้ลี้ภัยกุตาปาลอง ประเทศบังกลาเทศ ภาพจาก © UNHCR/Roger Arnold ความทรงจำในวัยเด็กของอาลี (นามสมมติ) ชายชาวโรฮิงญาวัย 22 ปีนั้นรางเลือน เขาจำได้เพียงว่าเกิดและโตในค่ายผู้อพยพเมืองค็อกบาร์ซา ประเทศบังกลาเทศ พ่อแม่เล่าให้อาลีฟังว่าพ่อเป็นนักธุรกิจมีบริษัทเล็กๆ อยู่ในเมืองมองดอ รัฐยะไข่ และเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ต่อมาในปี 2535 รัฐบาลทหารเมียนมาเริ่มปฏิบัติการกวาดล้างชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่อย่างลับๆ ที่ดินของครอบครัวอาลีถูกยึด บ้านถูกเผา พ่อแม่ของเขาจึงขึ้นเรือข้ามฝั่งมายังประเทศบังกลาเทศ และอาศัยค่ายผู้ลี้ภัยเป็นที่พำนักนับตั้งแต่นั้น จนกระทั่งคลอดอาลีในปี 2544 ครอบครัวของอาลีจึงเป็นผู้อพยพรุ่นแรกๆ ที่แสวงหาความปลอดภัยในบังกลาเทศ อาลีมองว่า พ่อแม่ของเขาต้องหนีออกจากบ้านเกิดเมืองนอนในรัฐยะไข่เพราะปัญหาความเกลียดชังชาวมุสลิม ซึ่งเป็นความขัดแย้งสะสมระหว่างกลุ่มคนพุทธสุดโต่งและชาวโรฮิงญา จนทำให้พ่อของเขาต้องทิ้งทุกอย่างไว้ที่เมียนมาแลกกับความปลอดภัยของครอบครัว ข้อมูลจากแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า ชาวโรฮิงญาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมในรัฐยะไข่ทางภาคตะวันตกของประเทศเมียนมาติดกับชายแดนบังกลาเทศ เคยมีประชากรมากกว่า 1 ล้านคน ต่อมารัฐบาลเมียนมาปฏิเสธการมีอยู่ของกลุ่มชนชาติพันธุ์ชาวโรฮิงญา โดยอ้างว่าพวกเขาเป็น “ผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายจากบังกลาเทศ” ชาวโรฮิงญาจึงถูกเพิกถอนสัญชาติและสิทธิพลเมืองเมียนมา จนกลายเป็นผู้ไร้รัฐ ไร้สัญชาติ ทางการเมียนมาควบคุมและจำกัดการเดินทางของชาวโรฮิงญาอย่างเข้มงวด กีดกันพวกเขาออกจากประชากรส่วนอื่น ๆ ของสังคม ไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ การศึกษา และไม่มีงานทำ การเลือกปฏิบัติอย่างเป็นระบบเช่นนี้ ถือว่าเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติตามกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อมูลล่าสุดจากข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR ระบุว่า จำนวนผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาในค่ายผู้ลี้ภัยประเทศบังกลาเทศมีจำนวนกว่า 1.1 ล้านคน อาลีเล่าว่า พวกเขาไม่มีหนังสือเดินทาง ทำให้เดินทางและหางานทำไม่ได้ เพราะจะถูกตำรวจบังกลาเทศจับในฐานะผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย อาหารและปัจจัยสี่ต้องอาศัยการสนับสนนุนจาก UNHCR องค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอ รัฐบาลบังกลาเทศ และผู้บริจาคอิสระจากแหล่งอื่นๆ เป็นหลัก ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้อพยพจำนวนกว่า 1.1 ล้านคน ผู้หญิงและเด็กในค่ายผู้ลี้ภัยแทบไม่มีความปลอดภัย พวกเขาถูกล่วงละเมิดโดยชายชาวโรฮิงญาภายในค่ายหรือนักการเมืองท้องถิ่นชาวบังกลาเทศที่ถูกตาต้องใจเด็กและหญิงสาวเหล่านั้น แม้ครอบครัวชาวโรฮิงญาทราบว่าพวกเธอถูกล่วงละเมิดทางเพศ แต่ก็แจ้งตำรวจไม่ได้ เพราะอาจถูกยัดข้อหา ยัดยาเสพติด หรือแม้แต่ยัดอาวุธ หากพยายามแจ้งความดำเนินคดีกับผู้มีอิทธิพลในค่ายผู้ลี้ภัย “กลับบ้านอย่างมีศักดิ์ศรี คืนสิทธิพลเมืองเต็มขั้น” (Return home dignity with full citizenship) คือแคมเปญรณรงค์ที่เกิดขึ้นในค่ายผู้อพยพกุตาปาลอง เมืองค็อกซ์บาซาร์ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2565 อาลีเล่าว่าผู้อพยพภายในค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ต่างตอบรับแคมเปญนี้ด้วยความหวัง เพราะต้องการชีวิตที่ปกติสุข ไม่ต้องทนทุกข์อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยอีกต่อไป ภาพชาวโรฮิงญาในค่ายกุตาปาลองออกมารณรงค์แคมเปญ “กลับบ้านอย่างมีศักดิ์ศรี คืนสิทธิพลเมืองเต็มขั้น” วันที่ 31 ธ.ค. 2565 ภาพชาวโรฮิงญาในค่ายกุตาปาลองออกมารณรงค์แคมเปญ “กลับบ้านอย่างมีศักดิ์ศรี คืนสิทธิพลเมืองเต็มขั้น” วันที่ 31 ธ.ค. 2565 สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้นำการรณรงค์ “กลับบ้านอย่างมีศักดิ์ศรี คืนสิทธิพลเมืองเต็มขั้น” ในคืนวันนั้น คือ ถูกเจ้าหน้าที่บังกลาเทศบุกค้นบ้านพักในค่ายผู้อพยพ และพบยาเสพติดรวมถึงอาวุธภายในค่าย ทั้งที่ผู้ถูกจับกุมไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมเช่นนี้มาก่อน ผู้นำการรณรงค์ถูกดำเนินคดีในข้อหาก่อการร้าย และถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ แคมเปญดังกล่าวหายไปกับสายลมราวกับไม่เคยเกิดขึ้น ผู้คนต่างหวาดกลัวที่จะออกมาส่งเสียงเรียกร้องสิทธิของตนเอง อาลีบอกว่าพวกเขารอคอยความยุติธรรมอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยแห่งนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม นับตั้งแต่ปี 2559-2560 ที่กองทัพเมียนมา เริ่มปฏิบัติการกวาดล้างชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ ส่งผลให้มีผู้ลี้ภัยหนีตายมายังบังกลาเทศกว่า 8 แสนคน แต่กลับไม่มีนายทหารคนใดได้รับโทษแม้แต่คนเดียว ตรงกันข้าม นายพลมินอ่องหล่าย ผู้นำกองทัพกลับได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีประเทศเมียนมา หลังทำรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนสำเร็จในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ปี 2564 บรรยากาศไร้ความหวังเช่นนี้ ทำให้ชาวโรฮิงญาที่มีครอบครัวหรือคนรู้จักอยู่ในประเทศที่สาม เริ่มติดต่อเพื่อหาลู่ทางออกจากค่ายผู้ลี้ภัยอีกครั้ง แม้ต้องฝากชีวิตไว้กับขบวนการค้ามนุษย์ก็ตาม อาลีบอกว่าไม่พบนายหน้าชาวไทย มาเลเซีย หรืออินโดนีเซียเข้ามาติดต่อกับชาวโรฮิงญาในค่ายผู้อพยพ ขบวนการค้ามนุษย์ที่คอยนำพาชาวโรฮิงญาไปยังประเทศที่สามส่วนใหญ่เป็นนายหน้าชาวโรฮิงญา ชาวบังกลาเทศ และชาวเมียนมา โดยมี 2 เส้นทาง คือ ทางบกและทางทะเล ค่าใช้จ่ายการเดินทางอยู่ที่ 500,000 ธากา หรือ ประมาณ 150,000 บาทต่อคน โดยครอบครัวหรือญาติผู้ลี้ภัยในต่างประเทศเป็นผู้รับผิดชอบ ภาพชาวโรฮิงญากว่า 70 คนที่ถูกจับกุมได้ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ในข้อหาลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย วันที่ 7 ม.ค. 2566 ภาพชาวโรฮิงญากว่า 70 คนที่ถูกจับกุมได้ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ในข้อหาลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย วันที่ 7 ม.ค. 2566 เส้นทางบกเริ่มต้นขึ้นที่รัฐยะไข่ ผู้นำพาหลักคือกลุ่มติดอาวุธกองทัพอาระกัน หรือ Arakan Army ชาวโรฮิงญาจะถูกพาไปยังเมืองย่างกุ้ง จากนั้นจึงหาลู่ทางให้กลุ่มผู้อพยพเดินทางเข้าประเทศไทย โดยติดต่อกับกลุ่มผู้นำพาท้องถิ่นอีกทอดหนึ่ง เพื่อส่งต่อไปยังประเทศมาเลเซีย ภาพผู้อพยพบเรือที่ออกเดินทางจากบังกลาเทศในวันที่ 29 ธ.ค. 2565 เพื่อเดินทางไปประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย บนเรือมีผู้อพยพจำนวน 140 คนจาก 34 แคมป์ในค็อกซ์บาซาร์ ภาพจาก ทวิตเตอร์ @MediaRohingya ภาพผู้อพยพบเรือที่ออกเดินทางจากบังกลาเทศในวันที่ 29 ธ.ค. 2565 เพื่อเดินทางไปประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย บนเรือมีผู้อพยพจำนวน 140 คนจาก 34 แคมป์ในค็อกซ์บาซาร์ ภาพจาก ทวิตเตอร์ @MediaRohingya ขณะที่เส้นทางทะเล นายหน้าจะรวบรวมคนจากแคมป์ต่างๆ ครั้งละ 80-150 คน ลงเรือบดลำเล็กๆ จากชายหาดทางตอนใต้ของบังกลาเทศ แล้วไปขึ้นเรือประมงขนาดใหญ่ที่บริเวณพรมแดนเมียนมา-บังกลาเทศ เรือแต่ละลำจะมีโทรศัพท์ดาวเทียมไว้สื่อสาร พร้อมกับน้ำและอาหารที่คาดว่าจะเพียงพอต่อการเดินทางไปยังประเทศมาเลเซียหรืออินโดนีเซีย แต่ด้วยสภาพเรือที่ไม่เหมาะสมกับการเดินทางไกล เรืออพยพบางลำจึงเสียระหว่างทาง เมื่อเจอกับคลื่นลมแรงในมหาสมุทร ชาวโรฮิงญาจำนวนหนึ่งจึงเสียชีวิตหรือสูญหายกลางทะเล อาลีมองว่าด้วยสภาพที่บีบคั้นภายในค่ายผู้ลี้ภัย ทำให้ชาวโรฮิงญาจำนวนหนึ่งที่มีญาติหรือครอบครัวอยู่ต่างประเทศพยายามหาความหวังใหม่ในประเทศอื่น และเลือกที่จะฝากชีวิตไว้ในมือขบวนการค้ามนุษย์ ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจไปไม่ถึงที่หมายและจบชีวิตลงระหว่างเดินทางก็ตาม วันที่ 20 มกราคม 2566 องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนชื่อ ฟอร์ทิฟาย ไรทส์ (Fortify Rights) ร่วมกับกลุ่มโจทก์ 16 คนที่อาศัยอยู่ในหลายประเทศรวมทั้งเมียนมสูตรสล็อตฟรีทุกค่ายาและตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในเมียนมา ยื่นฟ้องต่อสำนักงานอัยการกลางของเยอรมนี ขอให้อัยการเยอรมนีเปิดการสอบสวนเจ้าหน้าที่เมียนมารายบุคคล โดยอ้างถึงปฏิบัติการของกองทัพเมียนมาที่ใช้กำลังกวาดล้างชาวโรฮิงญาในปี 2560 รวมถึงอาชญากรรมที่เกิดขึ้นช่วงหลังการรัฐประหารปี 2564 ที่มีการสังหาร ข่มขืน ทรมาน คุมขัง อุ้มหาย ข่มเหง และกระทำการอื่น ๆ อันเทียบเท่ากับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จิราภรณ์ ศรีแจ่ม ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส รายงาน
วันที่ 30 ธ.ค.2567 เกิดเหตุนักท่องเที่ยวชาวสวีเดนถูกลิงกัดคอด้านขวา มีเลือดไหลและแผลกว้างประมาณ 2-3
วันนี้ (8 เม.ย.2568) ชาวเมียนมาในเมืองมัณฑะเลย์เริ่มออกมาจับจ่ายใช้สอยและใช้ชีวิตกันตามปกติ หลังเผชิ
วันนี้ (31 พ.ค.2565) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมา
“ไทยพีบีเอส” พูดคุยกับชายชาวโรฮิงญาวัย 22 ปีที่ใช้ชีวิตในค่ายผู้ลี้ภัยมาทั้งชีวิต “ลำบาก อยุติธรรม และไร้ความหวัง” คือ 3 คำที่เขาบรรยายชีวิตผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ ภาพค่ายผู้ลี้ภัยกุตาปาลอง ประเทศบังกลาเทศ ภาพจาก © UNHCR/Roger Arnold ภาพค่ายผู้ลี้ภัยกุตาปาลอง ประเทศบังกลาเทศ ภาพจาก © UNHCR/Roger Arnold ความทรงจำในวัยเด็กของอาลี (นามสมมติ) ชายชาวโรฮิงญาวัย 22 ปีนั้นรางเลือน เขาจำได้เพียงว่าเกิดและโตในค่ายผู้อพยพเมืองค็อกบาร์ซา ประเทศบังกลาเทศ พ่อแม่เล่าให้อาลีฟังว่าพ่อเป็นนักธุรกิจมีบริษัทเล็กๆ อยู่ในเมืองมองดอ รัฐยะไข่ และเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ต่อมาในปี 2535 รัฐบาลทหารเมียนมาเริ่มปฏิบัติการกวาดล้างชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่อย่างลับๆ ที่ดินของครอบครัวอาลีถูกยึด บ้านถูกเผา พ่อแม่ของเขาจึงขึ้นเรือข้ามฝั่งมายังประเทศบังกลาเทศ และอาศัยค่ายผู้ลี้ภัยเป็นที่พำนักนับตั้งแต่นั้น จนกระทั่งคลอดอาลีในปี 2544 ครอบครัวของอาลีจึงเป็นผู้อพยพรุ่นแรกๆ ที่แสวงหาความปลอดภัยในบังกลาเทศ อาลีมองว่า พ่อแม่ของเขาต้องหนีออกจากบ้านเกิดเมืองนอนในรัฐยะไข่เพราะปัญหาความเกลียดชังชาวมุสลิม ซึ่งเป็นความขัดแย้งสะสมระหว่างกลุ่มคนพุทธสุดโต่งและชาวโรฮิงญา จนทำให้พ่อของเขาต้องทิ้งทุกอย่างไว้ที่เมียนมาแลกกับความปลอดภัยของครอบครัว ข้อมูลจากแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า ชาวโรฮิงญาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมในรัฐยะไข่ทางภาคตะวันตกของประเทศเมียนมาติดกับชายแดนบังกลาเทศ เคยมีประชากรมากกว่า 1 ล้านคน ต่อมารัฐบาลเมียนมาปฏิเสธการมีอยู่ของกลุ่มชนชาติพันธุ์ชาวโรฮิงญา โดยอ้างว่าพวกเขาเป็น “ผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายจากบังกลาเทศ” ชาวโรฮิงญาจึงถูกเพิกถอนสัญชาติและสิทธิพลเมืองเมียนมา จนกลายเป็นผู้ไร้รัฐ ไร้สัญชาติ ทางการเมียนมาควบคุมและจำกัดการเดินทางของชาวโรฮิงญาอย่างเข้มงวด กีดกันพวกเขาออกจากประชากรส่วนอื่น ๆ ของสังคม ไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ การศึกษา และไม่มีงานทำ การเลือกปฏิบัติอย่างเป็นระบบเช่นนี้ ถือว่าเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติตามกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อมูลล่าสุดจากข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR ระบุว่า จำนวนผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาในค่ายผู้ลี้ภัยประเทศบังกลาเทศมีจำนวนกว่า 1.1 ล้านคน อาลีเล่าว่า พวกเขาไม่มีหนังสือเดินทาง ทำให้เดินทางและหางานทำไม่ได้ เพราะจะถูกตำรวจบังกลาเทศจับในฐานะผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย อาหารและปัจจัยสี่ต้องอาศัยการสนับสนนุนจาก UNHCR องค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอ รัฐบาลบังกลาเทศ และผู้บริจาคอิสระจากแหล่งอื่นๆ เป็นหลัก ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้อพยพจำนวนกว่า 1.1 ล้านคน ผู้หญิงและเด็กในค่ายผู้ลี้ภัยแทบไม่มีความปลอดภัย พวกเขาถูกล่วงละเมิดโดยชายชาวโรฮิงญาภายในค่ายหรือนักการเมืองท้องถิ่นชาวบังกลาเทศที่ถูกตาต้องใจเด็กและหญิงสาวเหล่านั้น แม้ครอบครัวชาวโรฮิงญาทราบว่าพวกเธอถูกล่วงละเมิดทางเพศ แต่ก็แจ้งตำรวจไม่ได้ เพราะอาจถูกยัดข้อหา ยัดยาเสพติด หรือแม้แต่ยัดอาวุธ หากพยายามแจ้งความดำเนินคดีกับผู้มีอิทธิพลในค่ายผู้ลี้ภัย “กลับบ้านอย่างมีศักดิ์ศรี คืนสิทธิพลเมืองเต็มขั้น” (Return home dignity with full citizenship) คือแคมเปญรณรงค์ที่เกิดขึ้นในค่ายผู้อพยพกุตาปาลอง เมืองค็อกซ์บาซาร์ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2565 อาลีเล่าว่าผู้อพยพภายในค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ต่างตอบรับแคมเปญนี้ด้วยความหวัง เพราะต้องการชีวิตที่ปกติสุข ไม่ต้องทนทุกข์อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยอีกต่อไป ภาพชาวโรฮิงญาในค่ายกุตาปาลองออกมารณรงค์แคมเปญ “กลับบ้านอย่างมีศักดิ์ศรี คืนสิทธิพลเมืองเต็มขั้น” วันที่ 31 ธ.ค. 2565 ภาพชาวโรฮิงญาในค่ายกุตาปาลองออกมารณรงค์แคมเปญ “กลับบ้านอย่างมีศักดิ์ศรี คืนสิทธิพลเมืองเต็มขั้น” วันที่ 31 ธ.ค. 2565 สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้นำการรณรงค์ “กลับบ้านอย่างมีศักดิ์ศรี คืนสิทธิพลเมืองเต็มขั้น” ในคืนวันนั้น คือ ถูกเจ้าหน้าที่บังกลาเทศบุกค้นบ้านพักในค่ายผู้อพยพ และพบยาเสพติดรวมถึงอาวุธภายในค่าย ทั้งที่ผู้ถูกจับกุมไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมเช่นนี้มาก่อน ผู้นำการรณรงค์ถูกดำเนินคดีในข้อหาก่อการร้าย และถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ แคมเปญดังกล่าวหายไปกับสายลมราวกับไม่เคยเกิดขึ้น ผู้คนต่างหวาดกลัวที่จะออกมาส่งเสียงเรียกร้องสิทธิของตนเอง อาลีบอกว่าพวกเขารอคอยความยุติธรรมอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยแห่งนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม นับตั้งแต่ปี 2559-2560 ที่กองทัพเมียนมา เริ่มปฏิบัติการกวาดล้างชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ ส่งผลให้มีผู้ลี้ภัยหนีตายมายังบังกลาเทศกว่า 8 แสนคน แต่กลับไม่มีนายทหารคนใดได้รับโทษแม้แต่คนเดียว ตรงกันข้าม นายพลมินอ่องหล่าย ผู้นำกองทัพกลับได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีประเทศเมียนมา หลังทำรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนสำเร็จในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ปี 2564 บรรยากาศไร้ความหวังเช่นนี้ ทำให้ชาวโรฮิงญาที่มีครอบครัวหรือคนรู้จักอยู่ในประเทศที่สาม เริ่มติดต่อเพื่อหาลู่ทางออกจากค่ายผู้ลี้ภัยอีกครั้ง แม้ต้องฝากชีวิตไว้กับขบวนการค้ามนุษย์ก็ตาม อาลีบอกว่าไม่พบนายหน้าชาวไทย มาเลเซีย หรืออินโดนีเซียเข้ามาติดต่อกับชาวโรฮิงญาในค่ายผู้อพยพ ขบวนการค้ามนุษย์ที่คอยนำพาชาวโรฮิงญาไปยังประเทศที่สามส่วนใหญ่เป็นนายหน้าชาวโรฮิงญา ชาวบังกลาเทศ และชาวเมียนมา โดยมี 2 เส้นทาง คือ ทางบกและทางทะเล ค่าใช้จ่ายการเดินทางอยู่ที่ 500,000 ธากา หรือ ประมาณ 150,000 บาทต่อคน โดยครอบครัวหรือญาติผู้ลี้ภัยในต่างประเทศเป็นผู้รับผิดชอบ ภาพชาวโรฮิงญากว่า 70 คนที่ถูกจับกุมได้ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ในข้อหาลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย วันที่ 7 ม.ค. 2566 ภาพชาวโรฮิงญากว่า 70 คนที่ถูกจับกุมได้ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ในข้อหาลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย วันที่ 7 ม.ค. 2566 เส้นทางบกเริ่มต้นขึ้นที่รัฐยะไข่ ผู้นำพาหลักคือกลุ่มติดอาวุธกองทัพอาระกัน หรือ Arakan Army ชาวโรฮิงญาจะถูกพาไปยังเมืองย่างกุ้ง จากนั้นจึงหาลู่ทางให้กลุ่มผู้อพยพเดินทางเข้าประเทศไทย โดยติดต่อกับกลุ่มผู้นำพาท้องถิ่นอีกทอดหนึ่ง เพื่อส่งต่อไปยังประเทศมาเลเซีย ภาพผู้อพยพบเรือที่ออกเดินทางจากบังกลาเทศในวันที่ 29 ธ.ค. 2565 เพื่อเดินทางไปประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย บนเรือมีผู้อพยพจำนวน 140 คนจาก 34 แคมป์ในค็อกซ์บาซาร์ ภาพจาก ทวิตเตอร์ @MediaRohingya ภาพผู้อพยพบเรือที่ออกเดินทางจากบังกลาเทศในวันที่ 29 ธ.ค. 2565 เพื่อเดินทางไปประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย บนเรือมีผู้อพยพจำนวน 140 คนจาก 34 แคมป์ในค็อกซ์บาซาร์ ภาพจาก ทวิตเตอร์ @MediaRohingya ขณะที่เส้นทางทะเล นายหน้าจะรวบรวมคนจากแคมป์ต่างๆ ครั้งละ 80-150 คน ลงเรือบดลำเล็กๆ จากชายหาดทางตอนใต้ของบังกลาเทศ แล้วไปขึ้นเรือประมงขนาดใหญ่ที่บริเวณพรมแดนเมียนมา-บังกลาเทศ เรือแต่ละลำจะมีโทรศัพท์ดาวเทียมไว้สื่อสาร พร้อมกับน้ำและอาหารที่คาดว่าจะเพียงพอต่อการเดินทางไปยังประเทศมาเลเซียหรืออินโดนีเซีย แต่ด้วยสภาพเรือที่ไม่เหมาะสมกับการเดินทางไกล เรืออพยพบางลำจึงเสียระหว่างทาง เมื่อเจอกับคลื่นลมแรงในมหาสมุทร ชาวโรฮิงญาจำนวนหนึ่งจึงเสียชีวิตหรือสูญหายกลางทะเล อาลีมองว่าด้วยสภาพที่บีบคั้นภายในค่ายผู้ลี้ภัย ทำให้ชาวโรฮิงญาจำนวนหนึ่งที่มีญาติหรือครอบครัวอยู่ต่างประเทศพยายามหาความหวังใหม่ในประเทศอื่น และเลือกที่จะฝากชีวิตไว้ในมือขบวนการค้ามนุษย์ ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจไปไม่ถึงที่หมายและจบชีวิตลงระหว่างเดินทางก็ตาม วันที่ 20 มกราคม 2566 องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนชื่อ ฟอร์ทิฟาย ไรทส์ (Fortify Rights) ร่วมกับกลุ่มโจทก์ 16 คนที่อาศัยอยู่ในหลายประเทศรวมทั้งเมียนมสูตรสล็อตฟรีทุกค่ายาและตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในเมียนมา ยื่นฟ้องต่อสำนักงานอัยการกลางของเยอรมนี ขอให้อัยการเยอรมนีเปิดการสอบสวนเจ้าหน้าที่เมียนมารายบุคคล โดยอ้างถึงปฏิบัติการของกองทัพเมียนมาที่ใช้กำลังกวาดล้างชาวโรฮิงญาในปี 2560 รวมถึงอาชญากรรมที่เกิดขึ้นช่วงหลังการรัฐประหารปี 2564 ที่มีการสังหาร ข่มขืน ทรมาน คุมขัง อุ้มหาย ข่มเหง และกระทำการอื่น ๆ อันเทียบเท่ากับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จิราภรณ์ ศรีแจ่ม ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส รายงาน
“ไทยพีบีเอส” พูดคุยกับชายชาวโรฮิงญาวัย 22 ปีที่ใช้ชีวิตในค่ายผู้ลี้ภัยมาทั้งชีวิต “ลำบาก อยุติธรรม แ