ป่วยโควิดรายใหม่ 10,486 คน เสียชีวิต 94 คน

มีข่าวปรากฏบนหน้าสื่อ หลังช่วงบ่าย เมื่อวานนี้ (17 ก.พ.68) อ้างรายงานข่าว โดยไม่มีคนพูดว่า นายไชยพวาน มั่นเพียรจิตต์ หรือ ปูอัด สส.กรุงเทพฯ พรรคไทยก้าวหน้า เดินทางไป จ.เชียงใหม่ เตรียมเข้ามอบตัวกับตำร

วันนี้ (18 ก.ค.2567) เกียรตินาคินภัทร หรือ KKP Research ประเมินศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ว่า อา

วันนี้ (29 ม.ค.2567) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ชุดสืบสวน พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ร่วมประชุมคดีนายศรีสุวรรณ จรรยา แ

วันนี้ (18 ก.ค.2567) เกียรตินาคินภัทร หรือ KKP Research ประเมินศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ว่า อาจจะลดลงมาอยู่ที่เพียงต่ำกว่า 2% หากไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง โดยปัจจัยการผลิตที่เป็นแรงฉุดสำคัญ คือ แรงงาน ที่ลดลง ซึ่งจะทำให้ศักยภาพการเติบโต (GDP Potential) ลดลงประมาณ 0.5 จุด ต่อปี จนถึงปี 2573 และลดลง 0.8 จุดต่อปีในปี 2583 ทำให้ศักยภาพ GDP ไทยเหลือต่ำเพียงราว 2% ต่อปี โดยที่คงสมมติฐานให้การสะสมทุนและผลิตภาพเท่าเดิม ปัจจัยด้านแรงงาน สำหรับไทย นอกจากจะเริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aged society) ที่มีประชากรอายุมากกว่า 65 เว บ ufabet ด ไหมปีมากกว่า 20% พบ ตลาดแรงงานในวัยทำงาน อายุ ตั้งแต่15-60 ปี ลดลงด้วยเช่นกัน จากประมาณการของสหประชาชาติ(UN) คาดว่า ประชากรไทยจะถึงจุดสูงสุดภายในปี 2573 โดยประชากรวัยทำงานได้ผ่านจุดสูงสุดไปล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่ปี 2555 และจะหดตัวอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 0.7% จนลดลงเหลือสัดส่วนเพียง 60% ของประชาการทั้งหมดในปี 2573 จาก 70% ในปี 2555 ขณะที่ประชากรวัยเด็ก มีแนวโน้มลดลง เฉลี่ยปีละ 1.8% ต่อปีจนถึง 2573 สวนทางกับประชากรผู้สูงอายุกลับมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 10% ในปี 2555 เป็น 20% ในปี 2566 ขณะที่ประชากรวัยทำงานและวัยเด็กที่ลดลง ผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ถือสร้างความท้าทายกับเศรษฐกิจไทยอย่างน้อยใน 2 ด้านหลัก คือ กำลังซื้อในประเทศจะลดลง และจะทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อไทยเคลื่อนตัวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ กำลังซื้อสินค้าคงทนอย่างรถยนต์และสินค้าฟุ่มเฟือยต่าง ๆ จะหดตัวลง แต่สินค้าประเภท บริการด้านสุขภาพและสินค้าจำเป็นจะเติบโตมากขึ้น นอกจากกำลังแรงงานลดลงแล้ว ผลิตภาพแรงงานก็ลดลงด้วย และจะมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ สะท้อนความสามารถในการทำงานของแรงงานไทยก็ชะงักงันหรือเติบโตเล็กน้อยมาก ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันจนถึงปัจจุบันเช่นเดียวกัน KKP Research มองว่า ฐานผู้บริโภคที่หดตัวลง การค้าโลกที่ผ่านยุคทองไปแล้ว ความสามารถในการแข่งขันโดยรวมที่ลดลง และการขาดการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนจากภาคเอกชน มีส่วนทำให้การสะสมทุนในช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้งลดลง ขณะที่แนวโน้มในอนาคต ความขัดแย้งของภูมิรัฐศาสตร์และห่วงโซ่อุปทาน การค้าและการลงทุนโลกที่กำลังเปลี่ยนไปจะสร้างความไม่แน่นอนและความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นอีก นอกจากนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้ภาคเอกชนโดยรวมที่สูงขึ้น คุณภาพของหนี้ที่ลดลง นโยบายการเงินที่ตึงตัวเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ และการระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในระยะหลัง ทำให้โอกาสที่จะขยายการลงทุนในเศรษฐกิจไทยโดยรวมลดลงไปด้วย อย่างไรก็ตาม ทางหนึ่งที่สามารถชดเชยกำลังแรงงานได้คือการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อทำให้แรงงาน 1 คน หรือ ทุน 1 หน่วยสามารถผลิตสินค้าและบริการได้มากขึ้น หรือคือมี ผลิตภาพ หรือ productivity มากขึ้น KKP Research เสนอรัฐบาลไทยควรให้ความสำคัญกับการปฏิรูปใน 4 ด้าน เพื่อยกระดับศักยภาพ GDP อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มผลิตภาพ ดึงดูดแรงงานทักษะสูง เพื่อเพิ่มแรงงานทักษะสูงที่จะมาพร้อมกับการลงทุนใหม่ ๆ นอกจากนี้ การทบทวนนโยบายนำเข้าแรงงานทักษะสูงจะต้องคิดใหม่ เพื่อให้สามารถดึงดูดแรงงานที่ไทยยังขาด และที่สำคัญคือนโยบายส่งเสริมการแข่งขันและต่อด้านการผูกขาด การเปิดเสรีภาคบริการ เนื่องจากเป็นภาคเศรษฐกิจที่ใหญ่และมีผลต่อศักยภาพของเศรษฐกิจ รวมถึงการแก้ไขกฎหมายระเบียบข้อบังคับที่เป็นอุปสรรคอื่น ๆ ในการทำธุรกิจ ที่สำคัญเพิ่มผลิตภาพของภาคเกษตร เพระภาคเศรษฐกิจที่มีผลิตภาพต่ำสุด แต่มีความสำคัญต่อภาคเศรษฐกิจมากในแง่ของสัดส่วนแรงงาน ดังนั้นการเพิ่มผลิตภาพของภาคเกษตรและแรงงานในภาคเกษตร และการเพิ่มมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตร จะช่วยเพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจไทยได้อีกมาก สุดท้าย คือ ปฏิรูปภาคการคลัง ความท้าทายของสังคมผู้สูงอายุนำไปสู่ความเสี่ยงทางด้านการคลังของประเทศโดยตรง การที่ฐานภาษีที่อยู่ในระดับต่ำ สัดส่วนรายได้ต่อ GDP อยู่ที่เพียงไม่ถึง 15% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหลายประเทศ และรายจ่ายด้านสาธารณสุขที่สูงขึ้นต่อเนื่อง จึงเป็นไปได้ยากที่ภาครัฐจะสามารถลงทุนขนาดใหญ่เพื่อยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทยได้อย่างจริงจัง หากไม่จัดการปัญหาด้านภาระทางการคลังเสียก่อน นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและธุรกิจไทยครึ่งปีหลัง (ก.ค. - ธ.ค.) ว่า เศรษฐกิจโลกช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงกันที่ 2.7% โดยมุมมองเศรษฐกิจในปี 2567 ของ SCB EIC มีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากขึ้น เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศเติบโตดี อีกทั้งเศรษฐกิจจีนก็มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเช่นกันจากภาคการผลิตและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังมีความเสี่ยงด้านประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาลแต่ละประเทศจะปรับสูงขึ้นจากผลการเลือกตั้งเกือบทั่วโลกในปีนี้ โดยเฉพาะผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ สำหรับแนวโน้มการจดทะเบียนธุรกิจปี 2567 ยังคงคาดการณ์การเติบโตของการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ที่ 5 - 15% หรืออยู่ที่90,000 - 98,000 ราย จากปัจจัยสนับสนุน เช่น นโยบายของภาครัฐ การเดินหน้านโยบายเงินดิจิทัลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการดึงดูดการลงทุนจากชาวต่างชาติที่มีการกระตุ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปี เช่น มาตรการวีซ่าพำนักระยะยาว มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการผลิตและกิจการ รวมทั้ง การลงทุนจากภาครัฐที่กำลังดำเนินการหลังจากที่เริ่มจัดสรรงบประมาณในปี 2567 ตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวอีกว่า การดำเนินการของภาครัฐ ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม รวมทั้ง ภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยที่สำคัญ ซึ่งจากแผนงานของภาครัฐที่มีนโยบายกระตุ้นด้านการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะครึ่งปีหลังในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ช่วง High Season ฤดูการท่องเที่ยวซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเยือนไทยสูงสุดของปี ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไทยก็นิยมท่องเที่ยวช่วงเวลาดังกล่าวด้วยเช่นกัน น่าจะส่งผลให้ธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร การขนส่ง และธุรกิจอื่นๆ ได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย และคาดว่าจะมีนักลงทุนจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยท้าทาย เช่น ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ เนื่องจากมีผลกระทบต่อกำลังซื้อผู้บริโภคในประเทศ อัตราเงินเฟ้อ ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จากต่างประเทศที่อาจส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกและกระทบมาถึงเศรษฐกิจของไทย รวมทั้ง การใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐที่ต้องเร่งเบิกจ่ายให้เร็วขึ้น เนื่องจากเกี่ยวข้องกับธุรกิจ SME โดยตรง โดยหากงบประมาณลงพื้นที่อย่างรวดเร็ว จะส่งผลให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น และมีการใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภคโดยทันทีเช่นเดียวกัน อ่านข่าว: ชาวนาเมิน โครงการ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” อยากได้ไร่ละพันกลับคืน "ราคาทองคำ" ผันผวนหนัก ขึ้น-ลง 18 ครั้ง ปิดตลาด บวก 350 บาท "เศรษฐกิจโลก" โตต่อ จับตาการเมืองสหรัฐ KKP ชี้หุ้นกลุ่ม AI ขยายตัวสูง

วันนี้ (22 ต.ค.2566) กระทรวงการต่างประเทศ แจ้งสถานะคนไทยที่ได้รับผลกระทบในอิสราเอล มีผู้เสียชีวิตรวม 30 คน ผู้บาดเจ็บเพิ่มขึ้น 2 คน เป็น 18 คน และมีที่คาดว่าถูกควบคุมตัวจํานวน 19 คน อย่างไรก็ตาม กรณีท