วันนี้ (2 มี.ค.2565) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้า

วันนี้ (21 ม.ค.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่เสี่ยงใน จ.ชลบุรี เพื่อตรวจติดตามกา
แม้อาจมองว่า “กระเช้าไฟฟ้า” นำพาความสะดวกสบายให้นักท่องเที่ยว คนที่เดินเท้าไม่ไหว เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ ฯลฯ ที่อยากขึ้นไปเที่ยวภูกระดึง รวมไปถึงการขนย้ายสิ่งของต่าง ๆ แต่ก็มีคำถามถึงผลกระทบต่อทรัพยา
ผบ.ทร.ยืนยันความจำเป็นจัดซื้อเรือดำน้ำ หลังรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสั่งชะลอโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยได้สั่งให้กองทัพเรือไปสร้างความเข้าใจกับสาธารณชนให้มากขึ้น ล่าสุดผู้บัญชาการทหารเรือ สั่งยืนยันถึงความจำเป็นในการซื้อเรือดำน้ำที่จะสามารถปกป้องและป้องกันประเทศทางทะเลได้ ผบ.ทร.ยืนยันความจำเป็นจัดซื้อเรือดำน้ำ วานนี้ (16 ก.ค.2558) พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวว่า ได้สั่งให้ พล.ร.อ.ณรงค์พล ณ บางช้าง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือในฐานะประธานคณะกรรมการโครงการจัดหาเรือดำน้ำทำเอกสารชี้แจงต่อสาธารณชนและสื่อมวลชนเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงความจำเป็นและความคุ้มค่าในการจัดซื้อเรือดำน้ำเพราะเรือดำน้ำเป็นผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับมากกว่า เพราะเป็นอาวุธที่มีศักยภาพสูงในการป้องกันทางทะเล ทั้งอ่าวไทยและอันดามัน โดยเฉพาะพื้นที่อ่าวไทยที่มีพื้นที่กว่า 300,000 ตารางไมล์ พล.ร.อ.ไกรสร ได้กล่าวถึงผลการศึกษาของกองทัพเรือที่พบว่า ผลประโยชน์ทางทะเลของไทยมีมูลค่ามากกว่าถึง 24 ล้านล้านบาทต่อปี ซึ่งเมื่อเทียบกับเรือดำน้ำที่จะซื้อจำนวน 3 ลำ มูลค่า 36,000 ล้านบาทและสามารถใช้งานได้ถึง 30 ปีแล้ว ถือว่าคุ้มค่ามากที่สุด ส่วนงบประมาณในการจัดซื้อเรือดำน้ำ พล.ร.อ.ไกรสร ชี้แจงว่า ทางกองทัพเรือได้งบประมาณประจำปี 40,000 ล้านบาท หากซื้อเรือดำน้ำก็จะเจียดงบประมาณบางส่วนมาจัดซื้อโดยผ่อนชำระเป็นรายปี ซึ่งจะไม่กระทบต่องบประมาณกลางของรัฐบาล ทั้งนี้อยากให้เชื่อใจถึงหลักความจำปั่น ส ล๊ อ ต ฟรีเป็น โดยกองทัพเรือจะทำสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบ แต่ถ้าไม่ให้จัดซื้อก็ไม่เป็นไร ถือว่าได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวย้ำเป็นครั้งที่ 2 ต่อโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำเข้าประจำการของกองทัพเรือว่า ต้องศึกษาเพิ่มเติมให้รอบด้าน และสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน เพื่อให้ทุกฝ่ายเกิดความเข้าใจและเห็นถึงความจำเป็น ก่อนดำเนินการจัดซื้อ แต่ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ปฏิเสธว่าจะยกเลิกและไม่ยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่ หากแต่ระบุว่า กองทัพเรือต้องพยายามต่อไปเพราะหากเกิดความเข้าใจตรงกันแล้วก็น่าจะสามารถดำเนินการได้ เพราะการจัดซื้อมีขั้นตอนและผูกพันงบประมาณ ด้วยการทยอยจ่ายเงิน เป็นระยะเวลา 10 ปี ไม่เบิกจ่ายครั้งเดียว การจัดซื้อเรือดำน้ำเพื่อประจำการในกองทัพเรือถูกบรรจุในแผนพัฒนากองทัพเรือ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการคัดเลือกแบบที่มี พล.ร.อ.ณรงค์พล ณ บางช้าง ผู้ช่วยผบ.ทร.เป็นประธาน และกรรมการรวม 17 คน ได้มีมติเลือกเรือดำน้ำจากจีน หลังศึกษารายละเอียดข้อดีข้อเสีย ของเรือดำน้ำจาก 5 ประเทศ คือ จีน เกาหลีใต้ รัสเซีย เยอรมนี และสวีเดน โดยมีแผนจัดซื้อจำนวน 3 ลำ และมีรายงานว่าเป็น รุ่น Yuan Class S26T ที่มีขนาดระวางขับน้ำ 2,600 ตัน จะต้องใช้งบประมาณ 36,000 ล้านบาท วานนี้ (16 ก.ค.2558) พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวว่า ได้สั่งให้ พล.ร.อ.ณรงค์พล ณ บางช้าง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือในฐานะประธานคณะกรรมการโครงการจัดหาเรือดำน้ำทำเอกสารชี้แจงต่อสาธารณชนและสื่อมวลชนเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงความจำเป็นและความคุ้มค่าในการจัดซื้อเรือดำน้ำเพราะเรือดำน้ำเป็นผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับมากกว่า เพราะเป็นอาวุธที่มีศักยภาพสูงในการป้องกันทางทะเล ทั้งอ่าวไทยและอันดามัน โดยเฉพาะพื้นที่อ่าวไทยที่มีพื้นที่กว่า 300,000 ตารางไมล์ พล.ร.อ.ไกรสร ได้กล่าวถึงผลการศึกษาของกองทัพเรือที่พบว่า ผลประโยชน์ทางทะเลของไทยมีมูลค่ามากกว่าถึง 24 ล้านล้านบาทต่อปี ซึ่งเมื่อเทียบกับเรือดำน้ำที่จะซื้อจำนวน 3 ลำ มูลค่า 36,000 ล้านบาทและสามารถใช้งานได้ถึง 30 ปีแล้ว ถือว่าคุ้มค่ามากที่สุด ส่วนงบประมาณในการจัดซื้อเรือดำน้ำ พล.ร.อ.ไกรสร ชี้แจงว่า ทางกองทัพเรือได้งบประมาณประจำปี 40,000 ล้านบาท หากซื้อเรือดำน้ำก็จะเจียดงบประมาณบางส่วนมาจัดซื้อโดยผ่อนชำระเป็นรายปี ซึ่งจะไม่กระทบต่องบประมาณกลางของรัฐบาล ทั้งนี้อยากให้เชื่อใจถึงหลักความจำเป็น โดยกองทัพเรือจะทำสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบ แต่ถ้าไม่ให้จัดซื้อก็ไม่เป็นไร ถือว่าได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวย้ำเป็นครั้งที่ 2 ต่อโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำเข้าประจำการของกองทัพเรือว่า ต้องศึกษาเพิ่มเติมให้รอบด้าน และสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน เพื่อให้ทุกฝ่ายเกิดความเข้าใจและเห็นถึงความจำเป็น ก่อนดำเนินการจัดซื้อ แต่ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ปฏิเสธว่าจะยกเลิกและไม่ยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่ หากแต่ระบุว่า กองทัพเรือต้องพยายามต่อไปเพราะหากเกิดความเข้าใจตรงกันแล้วก็น่าจะสามารถดำเนินการได้ เพราะการจัดซื้อมีขั้นตอนและผูกพันงบประมาณ ด้วยการทยอยจ่ายเงิน เป็นระยะเวลา 10 ปี ไม่เบิกจ่ายครั้งเดียว การจัดซื้อเรือดำน้ำเพื่อประจำการในกองทัพเรือถูกบรรจุในแผนพัฒนากองทัพเรือ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการคัดเลือกแบบที่มี พล.ร.อ.ณรงค์พล ณ บางช้าง ผู้ช่วยผบ.ทร.เป็นประธาน และกรรมการรวม 17 คน ได้มีมติเลือกเรือดำน้ำจากจีน หลังศึกษารายละเอียดข้อดีข้อเสีย ของเรือดำน้ำจาก 5 ประเทศ คือ จีน เกาหลีใต้ รัสเซีย เยอรมนี และสวีเดน โดยมีแผนจัดซื้อจำนวน 3 ลำ และมีรายงานว่าเป็น รุ่น Yuan Class S26T ที่มีขนาดระวางขับน้ำ 2,600 ตัน จะต้องใช้งบประมาณ 36,000 ล้านบาท
ผบ.ทร.ยืนยันความจำเป็นจัดซื้อเรือดำน้ำ หลังรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโ
ตามถนนสายหลักในกรุงริยาร์ด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ติดธงชาติ จีน และ ซาอุฯ เพื่อเตรียมต้อนรับ สี จิ้นผิ
สนธิกำลังตรวจค้นบ่อนลอยฟ้าย่านปิ่นเกล้า กองบังคับการตำรวจนครบาล 7 สนธิกำลังตำรวจตระเวนชายแดน 100 นาย
ผบ.ทร.ยืนยันความจำเป็นจัดซื้อเรือดำน้ำ หลังรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสั่งชะลอโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยได้สั่งให้กองทัพเรือไปสร้างความเข้าใจกับสาธารณชนให้มากขึ้น ล่าสุดผู้บัญชาการทหารเรือ สั่งยืนยันถึงความจำเป็นในการซื้อเรือดำน้ำที่จะสามารถปกป้องและป้องกันประเทศทางทะเลได้ ผบ.ทร.ยืนยันความจำเป็นจัดซื้อเรือดำน้ำ วานนี้ (16 ก.ค.2558) พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวว่า ได้สั่งให้ พล.ร.อ.ณรงค์พล ณ บางช้าง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือในฐานะประธานคณะกรรมการโครงการจัดหาเรือดำน้ำทำเอกสารชี้แจงต่อสาธารณชนและสื่อมวลชนเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงความจำเป็นและความคุ้มค่าในการจัดซื้อเรือดำน้ำเพราะเรือดำน้ำเป็นผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับมากกว่า เพราะเป็นอาวุธที่มีศักยภาพสูงในการป้องกันทางทะเล ทั้งอ่าวไทยและอันดามัน โดยเฉพาะพื้นที่อ่าวไทยที่มีพื้นที่กว่า 300,000 ตารางไมล์ พล.ร.อ.ไกรสร ได้กล่าวถึงผลการศึกษาของกองทัพเรือที่พบว่า ผลประโยชน์ทางทะเลของไทยมีมูลค่ามากกว่าถึง 24 ล้านล้านบาทต่อปี ซึ่งเมื่อเทียบกับเรือดำน้ำที่จะซื้อจำนวน 3 ลำ มูลค่า 36,000 ล้านบาทและสามารถใช้งานได้ถึง 30 ปีแล้ว ถือว่าคุ้มค่ามากที่สุด ส่วนงบประมาณในการจัดซื้อเรือดำน้ำ พล.ร.อ.ไกรสร ชี้แจงว่า ทางกองทัพเรือได้งบประมาณประจำปี 40,000 ล้านบาท หากซื้อเรือดำน้ำก็จะเจียดงบประมาณบางส่วนมาจัดซื้อโดยผ่อนชำระเป็นรายปี ซึ่งจะไม่กระทบต่องบประมาณกลางของรัฐบาล ทั้งนี้อยากให้เชื่อใจถึงหลักความจำปั่น ส ล๊ อ ต ฟรีเป็น โดยกองทัพเรือจะทำสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบ แต่ถ้าไม่ให้จัดซื้อก็ไม่เป็นไร ถือว่าได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวย้ำเป็นครั้งที่ 2 ต่อโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำเข้าประจำการของกองทัพเรือว่า ต้องศึกษาเพิ่มเติมให้รอบด้าน และสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน เพื่อให้ทุกฝ่ายเกิดความเข้าใจและเห็นถึงความจำเป็น ก่อนดำเนินการจัดซื้อ แต่ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ปฏิเสธว่าจะยกเลิกและไม่ยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่ หากแต่ระบุว่า กองทัพเรือต้องพยายามต่อไปเพราะหากเกิดความเข้าใจตรงกันแล้วก็น่าจะสามารถดำเนินการได้ เพราะการจัดซื้อมีขั้นตอนและผูกพันงบประมาณ ด้วยการทยอยจ่ายเงิน เป็นระยะเวลา 10 ปี ไม่เบิกจ่ายครั้งเดียว การจัดซื้อเรือดำน้ำเพื่อประจำการในกองทัพเรือถูกบรรจุในแผนพัฒนากองทัพเรือ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการคัดเลือกแบบที่มี พล.ร.อ.ณรงค์พล ณ บางช้าง ผู้ช่วยผบ.ทร.เป็นประธาน และกรรมการรวม 17 คน ได้มีมติเลือกเรือดำน้ำจากจีน หลังศึกษารายละเอียดข้อดีข้อเสีย ของเรือดำน้ำจาก 5 ประเทศ คือ จีน เกาหลีใต้ รัสเซีย เยอรมนี และสวีเดน โดยมีแผนจัดซื้อจำนวน 3 ลำ และมีรายงานว่าเป็น รุ่น Yuan Class S26T ที่มีขนาดระวางขับน้ำ 2,600 ตัน จะต้องใช้งบประมาณ 36,000 ล้านบาท วานนี้ (16 ก.ค.2558) พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวว่า ได้สั่งให้ พล.ร.อ.ณรงค์พล ณ บางช้าง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือในฐานะประธานคณะกรรมการโครงการจัดหาเรือดำน้ำทำเอกสารชี้แจงต่อสาธารณชนและสื่อมวลชนเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงความจำเป็นและความคุ้มค่าในการจัดซื้อเรือดำน้ำเพราะเรือดำน้ำเป็นผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับมากกว่า เพราะเป็นอาวุธที่มีศักยภาพสูงในการป้องกันทางทะเล ทั้งอ่าวไทยและอันดามัน โดยเฉพาะพื้นที่อ่าวไทยที่มีพื้นที่กว่า 300,000 ตารางไมล์ พล.ร.อ.ไกรสร ได้กล่าวถึงผลการศึกษาของกองทัพเรือที่พบว่า ผลประโยชน์ทางทะเลของไทยมีมูลค่ามากกว่าถึง 24 ล้านล้านบาทต่อปี ซึ่งเมื่อเทียบกับเรือดำน้ำที่จะซื้อจำนวน 3 ลำ มูลค่า 36,000 ล้านบาทและสามารถใช้งานได้ถึง 30 ปีแล้ว ถือว่าคุ้มค่ามากที่สุด ส่วนงบประมาณในการจัดซื้อเรือดำน้ำ พล.ร.อ.ไกรสร ชี้แจงว่า ทางกองทัพเรือได้งบประมาณประจำปี 40,000 ล้านบาท หากซื้อเรือดำน้ำก็จะเจียดงบประมาณบางส่วนมาจัดซื้อโดยผ่อนชำระเป็นรายปี ซึ่งจะไม่กระทบต่องบประมาณกลางของรัฐบาล ทั้งนี้อยากให้เชื่อใจถึงหลักความจำเป็น โดยกองทัพเรือจะทำสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบ แต่ถ้าไม่ให้จัดซื้อก็ไม่เป็นไร ถือว่าได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวย้ำเป็นครั้งที่ 2 ต่อโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำเข้าประจำการของกองทัพเรือว่า ต้องศึกษาเพิ่มเติมให้รอบด้าน และสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน เพื่อให้ทุกฝ่ายเกิดความเข้าใจและเห็นถึงความจำเป็น ก่อนดำเนินการจัดซื้อ แต่ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ปฏิเสธว่าจะยกเลิกและไม่ยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่ หากแต่ระบุว่า กองทัพเรือต้องพยายามต่อไปเพราะหากเกิดความเข้าใจตรงกันแล้วก็น่าจะสามารถดำเนินการได้ เพราะการจัดซื้อมีขั้นตอนและผูกพันงบประมาณ ด้วยการทยอยจ่ายเงิน เป็นระยะเวลา 10 ปี ไม่เบิกจ่ายครั้งเดียว การจัดซื้อเรือดำน้ำเพื่อประจำการในกองทัพเรือถูกบรรจุในแผนพัฒนากองทัพเรือ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการคัดเลือกแบบที่มี พล.ร.อ.ณรงค์พล ณ บางช้าง ผู้ช่วยผบ.ทร.เป็นประธาน และกรรมการรวม 17 คน ได้มีมติเลือกเรือดำน้ำจากจีน หลังศึกษารายละเอียดข้อดีข้อเสีย ของเรือดำน้ำจาก 5 ประเทศ คือ จีน เกาหลีใต้ รัสเซีย เยอรมนี และสวีเดน โดยมีแผนจัดซื้อจำนวน 3 ลำ และมีรายงานว่าเป็น รุ่น Yuan Class S26T ที่มีขนาดระวางขับน้ำ 2,600 ตัน จะต้องใช้งบประมาณ 36,000 ล้านบาท
วันที่ 19 ก.ย.2567 การแข่งขันยกน้ำหนักเยาวชนชิงชนะเลิศแห่งโลก ประจำปี 2567 ที่เมืองเลออน ประเทศสเปน