น้ำมัน NYMEX ปิด ลดลง 1.59 ดอลลาร์ สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX รอบส่งมอบเดือนพ.ย. วานนี้ (3 ต.ค.) ปิดลด

เพราะฉะนั้นถ้าเราทำให้การเลือกตั้งทั่วไปในครั้งหน้า มีความบริสุทธิ์ยุติธรรม เป็นที่ยอมรับ มีกติกาเป็นที่ยอมรับ และถ้าสามารถทำประชามติเรื่องการแก้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งตอนนี้ก็อาจจะ

เพราะฉะนั้นถ้าเราทำให้การเลือกตั้งทั่วไปในครั้งหน้า มีความบริสุทธิ์ยุติธรรม เป็นที่ยอมรับ มีกติกาเป็นที่ยอมรับ และถ้าสามารถทำประชามติเรื่องการแก้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งตอนนี้ก็อาจจะติดเงื่อนไขทางกฎหมายอยู่ ถ้าทำด้วยกันได้ มันก็จะคลี่คลายปมที่ผูกกันมามากมาย โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปตั้งโต๊ะเจรจาหรือพูดคุยกันกับตัวแทนของแต่ละฝ่าย เราต้องปล่อยให้กลไกประชาธิปไตย มันคลี่คลายปมประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองด้วยตัวมันเอง ผมคิดว่านี่อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องลองหันมาดูกระบวนการเหล่านี้กัน ไทยพีบีเอสออนไลน์ สัมภาษณ์พิเศษ ดร.เอกพันธุ์ ปิณฑวนิช นักวิชาการด้านสันติวิธี และนักวิจัยจากสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าการเลือกตั้งปี 2566 สามารถเป็นกลไกช่วยเปลี่ยนผ่านสังคมไทยให้ก้าวผ่านความขัดแย้งทางการเมืองได้อย่างไร นับถอยหลังสู่การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2566 ซึ่งเหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ไทยพีบีเอสออนไลน์สัมภาษณ์พิเศษ ดร.เอกพันธุ์ ปิณฑวนิช นักวิชาการด้านสันติวิธี และนักวิจัยจากสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในประเด็นเกี่ยวกับ “การเลือกตั้งครั้งต่อไป จะเป็นโอกาสที่ดีอย่างไรต่อการคลี่คลายปมความขัดแย้งทางการเมือง” ดร.เอกพันธ์ : ผมชอบการเลือกตั้ง และคิดว่าการเลือกตั้งเป็นกระบวนการการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ หรือเรียกได้ว่ามันสันติวิธีอย่างหนึ่ง เพราะว่ามันเป็นการใช้อำนาจของประชาชน ในการตัดสินประเด็นต่างๆ หรือเป็นการเลือกผู้ที่จะเข้าไปมีอำนาจในการบริหารประเทศ แต่ในการเลือกตั้งปี 2562 ต้องยอมรับว่า เป็นการเลือกตั้งภายใต้บรรยากาศที่เป็นระบบอำนาจนิยม คือรัฐบาลเผด็จการยังมีอำนาจอยู่ เราจะสังเกตเห็นว่า รัฐธรรมนูญชั่วคราวยังมีผลใช้บังคับอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่มีการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นที่หลายคนบอกว่ามันเป็นการสืบทอดอำนาจเผด็จการ มันก็ไม่ผิดเสียทีเดียว บรรดาประกาศคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ก็ยังมีผลใช้บังคับอยู่ รวมทั้งรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งร่างโดยกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญที่แต่งตั้งโดย คสช. ก็มีผลใช้บังคับ ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่ภาคประชาชนมีส่วนร่วมต่ำมาก บางคนอาจจะเพ้อพกไปว่ามี แต่โดยความเป็นจริงแล้ว มันไม่มีเลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเป็นผลพวงของการสืบถอดอำนาจ หากถามว่าทำไมรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ผ่านการเลือกตั้งมา ถึงยังมีพฤติกรรมของพวกอำนาจนิยมของพวกเผด็จการอยู่ ก็เป็นเพราะว่าหัวเหมือนเดิม จริตยังเหมือนเดิม ทัศนคติก็เหมือนเดิม ในเวลาที่มีคนขัดขึ้นมา มันก็ทำให้รู้สึกว่า แหม มันหงุดหงิดหัวใจเหลือเกิน แล้วก็มักจะตอบโต้ด้วยการใช้อำนาจหรืออะไรก็ตามที่มันเกินขอบเขต อันนี้ก็เป็นผลพวงของการเลือกตั้งปี 2562 ดร.เอกพันธ์ : นอกเหนือไปจากนั้น ถ้าเราสังเกตระบบการเลือกตั้งของปี 2562 ซึ่งถูกระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ รวมทั้งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เราจะเห็นว่ามันเป็นระบบที่เป็นนวัตกรรมของประเทศไทย มันไม่มีประเทศไหนใช้ กระบวนการในการคิดหรือสร้างระบบนี้ขึ้นมา มันก็ไม่ได้สะท้อนความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ดร.เอกพันธ์ : มากไปกว่านั้น ตัวองค์กรที่จัดการเลือกตั้ง ซึ่งก็คือคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ก็ดูเหมือนว่าไม่ค่อยจะเห็นคุณค่าของการเลือกตั้งสักเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นการประกาศคำนวนคะแนน ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ผสมรวมๆ กัน เราก็เลยได้รัฐบาลแบบนี้ ได้สภาแบบที่ผ่านมา บางคนอาจจะรักอาจจะชอบ อันนี้ก็ผมไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าในระบบประชาธิปไตย คนรักเผด็จการก็มี คนรักเสรีนิยมก็มี คนรักสังคมนิยมก็มี มันก็ปนๆ กันไป หากคุณอยากจะรัก อยากจะชอบเผด็จการ ผมคิดว่าการพัฒนาประชาธิปไตย จะทำให้คนทุกคนรวมทั้งคนที่รักเผด็จการ มีพื้นที่ในสังคมนี้ร่วมกัน ดร.เอกพันธ์ : ต้องขอเท้าความก่อนว่า ทำไมผู้คนถึงออกมาชุมนุมหลังจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ อย่างไรก็ตาม สูตรคำนวณต่าง ๆ มันทำให้ผลของการเลือกตั้งขัดต่อเจตนารมณ์ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ขัดต่อความเป็นจริงทางคณิตศาสตร์ ไม่ใช่ความเป็นจริงทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น คณิตศาสตร์คือหลักการว่าด้วยตรรกะ ถ้าตรรกะมันวิบัติ คนก็จะตั้งคำถามและรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว ด้วยปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ พรรคที่เราเลือกซึ่งควรจะได้คะแนนสูงสุดหรือมีคะแนนนำ กลับไม่ได้คะแนนเท่าที่ควรจะเป็น คนก็ฝังใจกับประเด็นนี้ไปแล้วในระดับหนึ่ง จนมาถึงว่า โอเค ไม่เป็นไร เป็นฝ่ายค้านก็ยังดี ถือว่าเป็นผลการเลือกตั้ง มาถึงตรงนี้ก็ยังไม่พอ ยังไปยุบพรรคเขาอีก ดร.เอกพันธ์ : ถึงแม้ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่ผู้แทนก็คือกระบอกเสียงของประชาชน เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเป็นนี่จุดหนึ่งที่ทำให้คนคิดว่า มันไม่ได้แล้วนะ ถ้าปล่อยให้บรรดาอำนาจนิยมทั้งหลายเข้ามาครองอำนาจ แล้วฉุดกระชากลากถูสังคมออกไปแบบนี้ มันคงไม่ไหว อันนี้จึงน่าจะเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้คนออกมาชุมนุมบนท้องถนน ซึ่งไม่ใช่แค่ผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่เท่านั้น แต่มันน่าจะเป็นความรู้สึกร่วมของคนจำนวนมากทีเดียว ที่รู้สึกว่า ผู้ที่มีอำนาจในขณะนั้นจนถึงขณะนี้ กำลังทำให้ประเทศถอยห่างจากความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อย ๆ ดร.เอกพันธ์ : ตรงนี้เป็นตรรกะโดยทั่วไป เมื่อมีรัฐธรรมนูญใหม่ ก็มีการเลือกตั้งใหม่ มีผู้เข้ามาบริหารประเทศชุดใหม่ และอีกข้อเรียกร้องหนึ่ง คือ หยุดการข่มขู่คุกคาม เพราะที่ผ่านมาในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์โหวต NO ในประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 ก็มีการฟ้องปิดปากผู้ทำแคมเปญ ถ้าไม่โดนฟ้อง ก็โดนปาของเข้าบ้าน โดนทำร้าย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คือการข่มขู่คุกคาม หรือแม้กระทั่งการส่งเจ้าหน้าที่ไปติดตามคนเหล่านี้ก็คือการข่มขู่คุกคาม มนุษย์เราคนธรรมดา มันไม่จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลไปเดินตาม เรามีความปลอดภัยในชีวิตระดับหนึ่ง การที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเดินตาม ถือว่าเป็นการข่มขู่คุกคาม ดังนั้นข้อเรียกร้องอยู่แค่นี้เอง ในช่วงแรก ๆ ความยากลำบาก ผู้คนตกงาน ถ้าไม่ตกงาน รายได้ก็ลดหายไปกว่าครึ่ง พ่อค้าแม่ค้าแม่ขายทุกคนได้รับผลกระทบไปหมด สิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านี้ มันประกอบเข้าด้วยกัน และยังสร้างอารมณ์ความรู้สึกที่อัดแน่นเข้าไปอีก ดร.เอกพันธ์ : เมื่อผู้คนไม่ได้ออกไปชุมนุมหรือทำกิจกรรมอะไรต่าง ๆ ไม่ได้หมายความว่าเขาเลิกเกลียดรัฐบาลนะครับ เพียงแต่เขาอาจจะอยู่ในช่วงจำเป็นที่ต้องใช้ชีวิตหรือทำมาหากินอะไรก่อน ปัจจัยสำคัญอีกประเด็นหนึ่งคือ ตอนนี้เวลาของรัฐบาลเหลือน้อยลงทุกที ๆ ทุก ๆ เพราะว่ามันใกล้จะเกิดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งถัดไป ผมคิดว่าประชาชนจำนวนมากกำลังเฝ้ารอให้ถึงการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า ดังนั้น การเคลื่อนไหวอื่นๆ ก็อาจจะไม่ได้มีความเข้มข้นเหมือนช่วงตอนต้นของรัฐบาล เพราะตอนนั้นเวลาของรัฐบาลเหลือเยอะ ดร.เอกพันธ์ : การที่รัฐบาลใช้อำนาจ เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจมาก ๆ เช่นนี้ ถามว่าดูเหมือนสำเร็จจริงหรือไม่ แต่ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่ เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่า อนาคตของรัฐบาลที่ใช้อำนาจเผด็จการแบบนี้ มันคงไม่ต่างกันหรอก มันจะเกิดขึ้นไม่วันนี้ก็วันหน้า เพราะฉะนั้นจะให้ตัดเกรด ได้เกรดอะไร ผมคิดว่ามันไม่สำคัญ ผมดูที่ผลลัพธ์ของมันมากกว่า ตราบใดที่คุณใช้อำนาจแบบนี้ ใช้อำนาจมากขึ้นๆ ทุกทีๆ กระทำกับประชาชน ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ตัวเองก็รับภาษีมาเป็นเงินเดือนด้วยซ้ำ ในท้ายที่สุด มันก็อยู่กันไม่ได้ อยู่ไปก็ไม่รอด ดร.เอกพันธ์ : โดยหลักการแล้ว รัฐบาลคือผู้ที่อภิบาลรัฐ อภิบาลประชาชน อาณาบริวิเคราะห์ วิจารณ์ ฟุตบอล วัน นี้เวณ รวมถึงกฎเกณฑ์กติกาต่าง ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ถ้าจะให้ผมตัดเกรดว่า 3 ปีผ่านไป รัฐบาลควรได้เกรดอะไร จากการรับมือปัญหาความเห็นต่างทางการเมือง ผมคงตัดเกรดไม่ได้ เพราะสอบตกทุกกรณี หรือว่าหมดสิทธิสอบด้วยซ้ำ ดร.เอกพันธ์ : ความขัดแย้งทุกอย่างบนโลก มันมีหนทางในการคลี่คลายเสมอ ไม่มีความขัดแย้งไหน หาทางออกไม่ได้ เพียงแต่ว่า เราอาจจะมองแค่ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาไม่ได้นะ เราต้องมองย้อนกลับไปก่อนการรัฐประหารในปี 2557 ด้วยซ้ำ ปัญหาก็คือ ด้วยความที่ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจมาก กุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ อีกฝ่ายหนึ่ง คือ ฝ่ายประชาชนไม่ได้มีอำนาจต่อรองอะไร เพราะฉะนั้น สมดุลอำนาจระหว่างทั้งสองฝ่ายมันต่างกันมากขนาดนี้ โอกาสที่จะขยับความสมดุลตรงนี้เข้ามา มันอาจจะต้องใช้กระบวนการหลายอย่าง แต่ถ้าผู้ที่มีอำนาจมากไม่ยอมปรับความสมดุลตรงนี้ การต่อสู้ของภาคประชาชนก็เป็นเรื่องปกติ ดร.เอกพันธ์ : เรามักจะคิดว่ากระบวนการในการคลี่คลายความขัดแย้ง อาจจะต้องไปนั่งเจรจาหรือพูดคุย ซึ่งอันนี้เป็นมุมแคบนะ บางครั้งการต่อสู้โดยวิธีที่ไม่ใช้ความรุนแรง มันก็เป็นการสร้างสมดุลของอำนาจขึ้นมานะครับ เพื่อที่จะนำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้งนั้น ดร.เอกพันธ์ : ผมได้เรียนไปแล้วว่า การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมจริงๆ มันเป็นเครื่องมือในการคลี่คลายความขัดแย้งได้ในระดับหนึ่ง เป็นเครื่องมือที่ดีด้วย หรือแม้กระทั่งการทำประชามติก็เป็นเครื่องมือที่คลี่คลายความขัดแย้งได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราทำให้การเลือกตั้งทั่วไปในครั้งหน้า มีความบริสุทธิ์ยุติธรรม เป็นที่ยอมรับ มีกติกาเป็นที่ยอมรับ และถ้าสามารถทำประชามติเรื่องการแก้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งตอนนี้อาจจะติดเงื่อนไขทางกฎหมายอยู่ ถ้าทำด้วยกันได้ มันก็จะคลี่คลายปมที่ผูกกันมามากมาย โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปตั้งโต๊ะเจรจาหรือพูดคุยกันกับตัวแทนของแต่ละฝ่าย เราต้องปล่อยให้กลไกประชาธิปไตย มันคลี่คลายปมประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองด้วยตัวมันเอง ผมคิดว่านี่อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องลองหันมาดูกระบวนการเหล่านี้กัน ดร.เอกพันธ์ : ด้วยความที่เราอยู่ภายใต้ระบบอำนาจนิยมมานาน และประเทศนี้ ก็เป็นประเทศที่รัฐประหารกันเฉลี่ย 4.2 ปีต่อครั้ง ตลอดระยะเวลาที่เราเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ทุกอย่างจึงดูเป็นไปได้หมด แต่ผมคิดว่า ณ วันนี้ คนที่จะกล้าขึ้นมากระทำการรัฐประหาร คงจะต้องคิดหนักในระดับหนึ่ง แต่เราสังเกตไหมครับ ไม่ต้องมีทฤษฎีใดๆ เมื่อมองย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ มันไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาอำนาจของพวกที่ใช้อำนาจเกินขอบเขต ดังนั้น เมื่อคุณขึ้น (สู่อำนาจ) ได้ ตอนคุณลงมา (จากอำนาจ) คุณก็ควรระวัง อาจจะเจ็บตัว หรือร่วงลงมา ดร.เอกพันธ์ : หากถามว่า มีโอกาสไหมที่จะมีคนหาญกล้ากระทำการรัฐประหารอีก ผมคิดว่าด้วยตรรกกะแบบนี้ คงมีคนจำนวนหนึ่งที่อยากจะทำให้เกิดการรัฐประหาร หรือกระทำการรัฐประหารตัวเองก็ได้ ผมก็อยากจะบอกว่า พวกเรารวมถึงตัวผม เป็นพวกไม่เอารัฐประหารอยู่แล้ว ผมคิดว่าพวกเราก็คงรอต้อนรับด้วยวิธีการอีกแบบหนึ่ง ถึงอย่างไร ก็คงต้องดูกันต่อไป ทางที่ดี ทางที่สะดวกสบาย มันมีอยู่แล้ว อย่างที่ผมเรียนไปว่า ระบบประชาธิปไตยต้อนรับทุกๆ คน คำว่าต้อนรับทุกๆ คน หมายความว่า ถึงแม้สมมติว่าคุณเป็นพวกขวาจัด เป็นพวกอนุรักษ์นิยม เป็นพวกอำนาจนิยม เสรีนิยม สังคมนิยม หรือไม่นิยมอะไรเลย ฯลฯ คุณก็สามารถอยู่ในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยได้ ดร.เอกพันธ์ : สังคมประชาธิปไตยเป็นสังคมที่โอบอุ้มคนที่มีความคิดต่าง ๆ กันได้อย่างมากมาย เพราะฉะนั้นถ้าคุณรักเผด็จการ ให้คุณลองเข้ามาอยู่ในสังคมประชาธิปไตยครับ คุณก็จะสามารถชื่นชมเผด็จการไปได้เรื่อย ๆ เพราะคุณก็จะมีสิทธิเสรีภาพในระดับหนึ่ง ที่จะจัดการ ที่จะชื่นชมความบ้าอำนาจของคน หรืออะไรก็แล้วแต่ หรือถ้าคุณเป็นเสรีนิยม คุณก็จะมีพื้นที่อยู่ในขอบเขตของประชาธิปไตย ไม่ว่าคุณจะรักฝ่ายไหนก็ตาม ผมอยากให้เรามาลองพัฒนาสังคมไทยให้มีความเข้มแข็งตามแนวทางประชาธิปไตย

วันนี้ (8 พ.ค.2564) ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม เดินทางลงพื้นที่ตรวจความเรียบร้อยพื