บีโอไอ เผยผลศึกษาโอกาสนักลงทุนไทยในอาเซียน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเตรียมปรับสิทธิประโยชน์

ผู้นำยูเครนพร้อมหารือเรื่องหลักประกันความมั่นคงและการวางตัวเป็นกลาง รวมทั้งสถานะรัฐปลอดนิวเคลียร์ แต่จะไม่หารือเกี่ยวกับการปลดอาวุธและการกำจัดระบอบนาซี ขณะที่การบรรลุข้อตกลงใดๆ ก็ตามจะต้องผ่านการลงประ

บีโอไอ เผยผลศึกษาโอกาสนักลงทุนไทยในอาเซียน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเตรียมปรับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง พร้อมแนะนำนักลงทุนไทยเข้าลงทุนในประเทศสมาชิกอาเซียนภายใต้กรอบเออีซี โดยเฉพาะกิจการภาคบริการ และการเกษตร บีโอไอ เผยผลศึกษาโอกาสนักลงทุนไทยในอาเซียน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยผลการศึกษาลู่ทางลงทุนไทยภายใต้กรอบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ในอุตสาหกรรม 5 สาขา คือ เกษตรกรรม, สิ่งทอ, ยานยนต์, ท่องเที่ยว และก่อสร้าง พบว่า ธุรกิจที่นักลงทุนไทยมีโอกาสไปลงทุนในประเทศสิงคโปร์ คือ ร้านอาหาร, สปา, รีสอร์ท เนื่องจากเป็นประเทศที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก ขณะที่ธุรกิจอาหารฮาลาล และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ยังเป็นที่ต้องการในประเทศมาเลเซีย ส่วนอินโดนีเซีย ควรลงทุนกิจการประมงน้ำลึก เนื่องจากเป็นประเทศที่ขาดความชำนาญ และไม่นิยมบริโภคอาหารทะเล จึงเป็นโอกาสให้นักลงทุนไทยเข้ารับสัมปทานจับสัตว์น้ำ เพื่อแปรรูปได้  และฟิลิปปินส์ เหมาะที่จะลงทุนธุรกิจแปรรูปผลไม้ ธุรกิจชิ้นส่วนอะไหล่ ตกแต่งรถยนต์ ขณะที่สำนักเลขาธิการอาเซียน รายงานการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียนปีที่ผ่านมา มีมูลค่า 75,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ซึ่งอยู่ที่ 37,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นสถิติสูงสุดจากการลงทุนภายในกลุ่มนี้ และคิดเป็นสัดส่วนการลงทุนของโลก ร้อยละ 10 ขณะที่ภาวะลงทุนของกลุ่มอาเซียนในไทย 8 เดือนแรกปีนี้ผ่านบีโอไอ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเป็นการลงทุนจากสิงคโปร์ 47 โครงการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 รองลงมาเป็นของมาเลซีย 19 โครงการ มูลค่า 3,700 ล้านบาทหรือเพิ่มร้อยละ 16   ทั้งนี้ บีโอไอ อยู่ระหว่างปรับทิศทางนโยบายส่งเสริมการลงทุน หลังกระทรวงการคลังเสนอให้มีการทบทวนสิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนต่างชาติ เบื้องต้นจะมุ่งสนับสนุนอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง แต่จะลดสิทธิประโยชน์อุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบในประเทศและใช้แรงงานเป็นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยผลการศึกษาลู่ทางลงทุนไทยภายใต้กรอบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ในอุตสาหกรรม 5 สาขา คือ เกษตรกรรม, สิ่งทอ, ยานยนต์, ท่องเที่ยว และก่อสร้าง พบว่า ธุรกิผล บอล ชั วจที่นักลงทุนไทยมีโอกาสไปลงทุนในประเทศสิงคโปร์ คือ ร้านอาหาร, สปา, รีสอร์ท เนื่องจากเป็นประเทศที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก ขณะที่ธุรกิจอาหารฮาลาล และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ยังเป็นที่ต้องการในประเทศมาเลเซีย ส่วนอินโดนีเซีย ควรลงทุนกิจการประมงน้ำลึก เนื่องจากเป็นประเทศที่ขาดความชำนาญ และไม่นิยมบริโภคอาหารทะเล จึงเป็นโอกาสให้นักลงทุนไทยเข้ารับสัมปทานจับสัตว์น้ำ เพื่อแปรรูปได้  และฟิลิปปินส์ เหมาะที่จะลงทุนธุรกิจแปรรูปผลไม้ ธุรกิจชิ้นส่วนอะไหล่ ตกแต่งรถยนต์ ขณะที่สำนักเลขาธิการอาเซียน รายงานการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียนปีที่ผ่านมา มีมูลค่า 75,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ซึ่งอยู่ที่ 37,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นสถิติสูงสุดจากการลงทุนภายในกลุ่มนี้ และคิดเป็นสัดส่วนการลงทุนของโลก ร้อยละ 10 ขณะที่ภาวะลงทุนของกลุ่มอาเซียนในไทย 8 เดือนแรกปีนี้ผ่านบีโอไอ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเป็นการลงทุนจากสิงคโปร์ 47 โครงการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 รองลงมาเป็นของมาเลซีย 19 โครงการ มูลค่า 3,700 ล้านบาทหรือเพิ่มร้อยละ 16 ทั้งนี้ บีโอไอ อยู่ระหว่างปรับทิศทางนโยบายส่งเสริมการลงทุน หลังกระทรวงการคลังเสนอให้มีการทบทวนสิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนต่างชาติ เบื้องต้นจะมุ่งสนับสนุนอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง แต่จะลดสิทธิประโยชน์อุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบในประเทศและใช้แรงงานเป็นพื้นฐาน

วันนี้ (23 ส.ค.2567) กู้ภัยฉะเชิงเทรา ยังใช้รถแบคโฮ จำนวน 2 คัน ระดมค้นหาชิ้นส่วนของเครื่องบิน และชิ้นส่วนมนุษย์ ของนักบิน ผู้ช่วยนักบิน ลูกเรือ และผู้โดยสาร จำนวน 9 คน อย่างต่อเนื่อง หลังเครื่องบินเล