วันนี้ (29 ก.ย.2564) พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เปิดเผยว่า วันนี้

วันนี้ (23 เม.ย.2565) น.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข 11 พรรคไทยสร้างไทย ลงพื้นที่พบปะประชาชนชุมชนคลองเตย เขตวัฒนา เช่น ชุมชนล็อค 123 ชุมชนริมทางรถไฟ ชุมชนแฟลต 1-10 และชุมชนน้องใหม่ ซึ่งพื

เมื่อวันที่ 21 พ.ค.2568 ปธน.ไซริล รามาโฟซา แห่งแอฟริกาใต้ เดินทางเยือนทำเนียบขาว เพื่อพบ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ หวังฟื้นสัมพันธ์ที่ย่ำแย่นับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งสมัยที่ 2 โดยตั้งแต่ ม.ค.2568 ทรัมป์สั่งให้สหรัฐฯ ตัดความช่วยเหลือด้านเอดส์ ขับไล่เอกอัครราชทูตแอฟริกาใต้ อิบราฮิม ราซูล และให้สถานะผู้ลี้ภัยแก่ชาวอัฟริกาเนอร์ (Afrikaners) 59 คน โดยอ้างว่าพวกเขาถูก "กดขี่" ในแอฟริกาใต้ นอกจากนั้น ทรัมป์ยังประณามกฎหมายยึดที่ดิน ที่อนุญาตให้รัฐยึดที่ดินโดยไม่จ่ายค่าชดเชยในบางกรณี เพื่อแก้ไขความเหลื่อมล้ำจากยุคแบ่งแยกสีผิว (Apartheid) ซึ่งยุติในปี 2537 และคดีที่แอฟริกาใต้ฟ้องอิสราเอลฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ รามาโฟซา ซึ่งเป็นผู้นำ African National Congress (ANC) และมีประสบการณ์เจรจายุติการแบ่งแยกสีผิวร่วมกับเนลสัน แมนเดลา นำคณะผู้แทนที่มีนักกอล์ฟชื่อดัง เออร์นี เอลส์ และ เรทีฟ กูเซน เพื่อเอาใจทรัมป์ผู้หลงใหลกอล์ฟ พร้อมรัฐมนตรีเกษตรผิวขาว จอห์น สตีนฮุยเซน เพื่อแสดงความหลากหลายในรัฐบาลผสม ผู้นำแอฟริกาใต้ยังเสนอให้สตาร์ลิงก์ของ อีลอน มัสก์ ดำเนินงานในแอฟริกาใต้ หวังลดแรงกดดันจากมัสก์ ซึ่งเป็นชาวแอฟริกาใต้เชื้อสายอัฟริกาเนอร์ และเคยวิจารณ์รัฐบาลแอฟริกาใต้ว่ากีดกันธุรกิจของเขาเพราะเขาไม่ใช่คนผิวดำ เป้าหมายหลักของรามาโฟซาในการเยืนทำเนียบขาวครั้งนี้ คือ รักษาสิทธิพิเศษภายใต้ African Growth and Opportunity Act (AGOA) ซึ่งแอฟริกาใต้ส่งออกเกษตรไปสหรัฐฯ 2,700 ล้านดอลลาร์ต่อปีแบบปลอดภาษี คิดเป็นร้อยละ 1 ของ GDP แต่สมาชิกสภาสหรัฐฯ เช่น วุฒิสมาชิก มาร์โก รูบิโอ ขู่ถอนสิทธิ AGOA หากแอฟริกาใต้ไม่ยกเลิกกฎหมายยึดที่ดินหรือถอนคดี ICJ รามาโฟซายังต้องเผชิญข้อกล่าวหาจากทรัมป์และมัสก์ว่าแอฟริกาใต้มีการ "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ชาวผิวขาว โดยเฉพาะเกษตรกร ซึ่งรัฐบาลปฏิเสธอย่างหนักแน่น การประชุมในห้องทำงานรูปไข่ เริ่มด้วยการพูดคุยเรื่องกอล์ฟอย่างเป็นมิตร แต่สถานการณ์พลิกผันเมื่อเจ้าหน้าที่เข็นโทรทัศน์จอใหญ่ 2 เครื่องเข้ามา ทรัมป์สั่งลดแสงไฟและฉายวิดีโอของ จูเลียส มาเลมา ผู้นำ Economic Freedom Fighters (EFF) ร้องเพลง "Kill the Boer" จากยุคต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ซึ่งทรัมป์ตีความว่าเป็นการยุยงฆ่าเกษตรกรผิวขาว ขณะดูวิดีโอ ทรัมป์โบกกระดาษในมือพร้อมตะโกน "ความตาย ความตาย ความตายอันน่าสยดสยอง" ราวกับกำกับละครบรอดเวย์ บางคนแซวว่าทรัมป์คงอยากได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมมากกว่าตำแหน่งผู้นำโลก วิดีโอและบทความถูกโพสต์บนโซเชียลมีเดียทำเนียบขาวทันที แสดงถึงการวางแผนเพื่อใช้รามาโฟซาเป็นเครื่องมือเอาใจฐานเสียงฝ่ายขวา รามาโฟซา ซึ่งตกใจแต่ยังคงสงบสมกับนักเจรจามือฉมัง ตอบโต้ว่า วิดีโอไม่ใช่นโยบายรัฐบาล แต่เป็นเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย เขาอ้างข้อมูลจาก South African Police Service (SAPS) ปี 2567 ว่า มีการฆาตกรรม 26,232 คดี แต่เพียง 44 คดีเกี่ยวข้องกับชุมชนเกษตร และ 8 คดีที่เหยื่อเป็นเกษตรกร ไม่มีหลักฐาน "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ตามที่ CNN และ Reuters ยืนยัน ขณะที่รัฐมนตรี เซนโซ มชูนู ระบุว่า การเชื่อมโยงการฆาตกรรมกับเชื้อชาติเป็นสมมติฐานที่ล้าสมัย อีลอน มัสก์ ชาวแอฟริกาใต้เชื้อสายอัฟริกาเนอร์ ผู้สนับสนุนทรัมป์และเคยโพสต์บน X ว่าชาวผิวขาวถูกกดขี่ ในแอฟริกาใต้ ได้เข้าร่วมประชุมแต่ต้องยืนเงียบข้างโซฟา เพราะทรัมป์ตัดบทไม่ให้คู่หูพูดแม้แต่คำเดียว โดยบอกว่า อีลอนจากแอฟริกาใต้ ผมไม่อยากให้เขาพูด มันไม่ยุติธรรม การประชุมระหว่างรามาโฟซา-ทรัมป์ สะท้อนรูปแบบการทูตที่ดุดันและโจ่งแจ้งของทรัมป์ในสมัยที่ 2 ซึ่งเปลี่ยนห้องทำงานรูปไข่ให้กลายเป็น "เวทีมวยปล้ำ WWE ทางการเมือง" ที่ถ่ายทอดสดเพื่อเอาใจฐานเสียง MAGA นักวิเคราะห์อย่างนีโอ เลตสวาโล จากมหาวิทยาลัยโจฮันเนสเบิร์ก เรียกการประชุมนี้ว่า "make-or-break" ที่ต้องการทักษะเจรจาระดับสูง ในขณะที่ผู้นำแอฟริกาใต้ เลือกใช้ความสงบและข้อเท็จจริง แตกต่างจากผู้นำโลกคนอื่น ๆ ที่เผชิญทรัมป์ในลักษณะเดียวกัน สำหรับ รามาโฟซา ผู้นำแอฟริกาใต้ เขาโดดเด่นด้วยความสงบและการยึดข้อเท็จจริง ซึ่ง คริสโตเฟอร์ อาโฟเค อิซิเค จากมหาวิทยาลัยพริทอเรีย ชี้ว่า สะท้อนความเป็นนักธุรกิจและผู้นำ ที่เข้าใจวิธีเจรจากับทรัมป์ อย่างไรก็ตาม การจัดฉากของทรัมป์เผยให้เห็นนิสัยชอบ "เล่นใหญ่" ที่บางครั้งดูเหมือนเด็กน้อยขี้โมโหมากกว่าผู้นำโลก โดยเฉพาะเมื่อเขาโบกบทความและตะโกน "ความตาย" ราวกับอยู่ในรายการเรียลลิตี้ การทูตในยุคทรัมป์ 2.0 ดูเหมือนบังคับให้ผู้นำโลกต้องเตรียมรับมือ "ห้องรูปไข่" ที่เต็มไปด้วยการจัดฉากและการถ่ายทอดสดเพื่อเอาใจฐานเสียง ผู้นำอย่างรามาโฟซา สตาร์เมอร์ และมาครง แสดงให้เห็นว่าการผสมผสานความนอบน้อมและการยืนหยัดในหลักการเป็นกุญแจสำคัญ แต่สำหรับผู้นำจากชาติที่พึ่งพาสหรัฐฯ เช่น จอร์แดนหรือยูเครน การเผชิญทรัมป์อาจหมายถึงการยอมจำนนหรือสูญเสียผลประโยชน์ ในอนาคต หากทรัมป์ยังคงใช้ห้องรูปไข่เป็น "เวทีเรียลลิตี้" อาจทำให้ผู้นำโลกปฏิเสธคำเชิญมาทำเนียบขาว และหันไปสร้างพันธมิตรกับจีนหรือกลุ่ม Global South แทน อ่านข่าวอื่น : jokerสล็อตฟรีเครดิตrobloxGolden Dome ปะทะจีน-รัสเซีย! สหรัฐฯ ลุยโล่ป้องกันขีปนาวุธ สหรัฐฯ รับมอบเครื่องบินหรูจากราชวงศ์กาตาร์ มูลค่า 400 ล้านดอลลาร์

เมื่อวันที่ 21 พ.ค.2568 ปธน.ไซริล รามาโฟซา แห่งแอฟริกาใต้ เดินทางเยือนทำเนียบขาว เพื่อพบ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ หวังฟื้นสัมพันธ์ที่ย่ำแย่นับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งสมัยที่ 2 โดยตั้งแต่ ม.ค.2568 ทรัมป์ส