วันนี้ (7 พ.ค.2566) นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.ลงพื้นที่ตรวจการเลือกตั้งล่วงหน้าที่ จ.ชลบุรี พร้อมให้สัมภาษณ์ระบุว่า มีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งไว้ 10,000 กว่าคน โดยได้เดินทางถึงสถานที่ประมาณ
วันนี้ (28 มิ.ย.2565) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึง
วันนี้ (1 ต.ค.2567) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ระบุว่า ตามที่ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จ.พิษณุโลก เขตเลือกตั้งที่ 1 แทนตำแหน่งที่ว่าง เมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมก
กว่า 1 ปี กับชุมนุมการเมืองในประเทศไทย ข้อเรียกร้องจากหลายกลุ่ม จุดยืนที่ดันเพดานสูงไปสู่การตอบโต้ของรัฐ ที่เริ่มยกระดับมากขึ้น 1 ปีประเทศไทยได้บทเรียนอะไร? แล้วก้าวต่อไปในอนาคตของทั้ง 2 ฝ่ายจะเป็นอย่างไร? ไทยพีบีเอสออนไลน์ชวนจับสัญญาณการเมืองไทยผ่านมุมมองของ ผศ.ดร.กนกรัตน์ เลิศชูสกุล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ช่วงต้นปี 2563 การชุมนุมก่อตัวขึ้นในมหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่าง ๆ เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีข้อเรียกร้องและการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่แตกต่างกัน ในช่วงนั้น รัฐยังไม่เข้าใจ และมองมวลชนเหมือนฝ่ายค้านในอดีต พร้อมตั้งคำถามว่า "ถูกจ้างมาหรือเปล่า" ปฏิกิริยาที่รัฐแสดงออกมาจึงเป็น "ความเพิกเฉย" กลางปี 2563 กลุ่มเล็ก ๆ เหล่านี้เริ่มขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ หลัง COVID-19 ระลอกแรก และเริ่มตั้งตัวเป็นเครือข่ายแบบหลวม ๆ เช่น ประชาชนปลดแอก เยาวชนปลดแอก ไปจนถึงคณะราษฎร มีการทำงานประสานกันมากขึ้น แต่ยังมีอำนาจอธิปไตยในการตัดสินใจด้วยตัวเอง ผศ.ดร.กนกรัตน์ มองว่า จุดนี้เองที่รัฐเริ่มเกิดความกังวล และรู้แล้วว่า พลังเหล่านี้เป็นพลังของคนรุ่นใหม่ ที่เริ่มด้วยตัวเองอย่างแท้จริง ทำให้รัฐพยายามทำความเข้าใจ และประนีประนอม โดยสังเกตจากการจับกุมแกนนำ ไม่กี่วันก็ปล่อยตัว เหมือนเป็นการเตือนมวลชน อีกทั้งสถาบันหลักของสังคมก็ได้ออกมาบอกผ่านสื่อด้วยว่า "เรายังประนีประนอมกันได้" ต้นปี 2564 สถานการณ์เปลี่ยนไป กลุ่มเยาวชนเข้มแข็งมากขึ้น และเริ่มแยกออกจากกัน เพื่อแสดงจุดยืนของตัวเอง กลุ่ม Free YOUTH เริ่มทำแคมเปญของตัวเองกลายเป็นกลุ่ม REDEM ที่มีข้อเรียกร้องไปไกลมาก ๆ ส่วนไผ่ ดาวดิน ก็เริ่มไปเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มหมู่บ้านทะลุฟ้า ส่วนแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ก็เคลื่อนไหวและถูกจับกุมหลายคน รัฐจึงยกระดับการใช้เครื่องมือ ในการจัดการกับมวลชน เหมือนที่เคยใช้กับกลุ่มเสื้อแดง มีการจับกุมคุมขังมากกว่า 2 เดือน และมีการดำเนินคดีมากขึ้น ก.ค. - ส.ค.2564 เริ่มเห็นการขยายตัวของพันธมิตรใหม่ ๆ มากขึ้น จากปัญหาความชอบธรรมของรัฐ และ COVID-19 ส่งผลให้ทั้งคนชนชั้นกลางระดับล่าง ชนชั้นกลางระดับบน หรือคน 1 % ที่รวยที่สุดในประเทศ รวมถึงกลุ่มอดีตฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลทั้ง กปปส. พันธมิตร หรือแม้แต่วิชาชีพหมอ พยาบาล หลายกลุ่มเริ่มลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวในจุดยืน และข้อเรียกร้องของตัวเอง ขณะนี้ มุมมองของรัฐแตกต่างจากปีที่แล้ว รัฐมองการเติบโตขึ้นของมวลชนจากขบวนการเยาวชน เริ่มกลายเป็น "ภัยคุกคามระดับชาติ" การปฏิบัติการจึงไม่มีการประนีประนอม ไม่มีการเจรจา มีการยกระดับวิธีควบคุมฝูงชนเริ่มต้นจากกลางไปถึงหนัก ผศ.ดร.กนกรัตน์มองว่า รัฐคงระดับการควบคุมเท่าเดิม เพื่อซื้อเวลาให้สถานการณ์ COVID-19 ดีขึ้น ให้ความอึดอัดใจของประชาชนลดน้อยลง แต่ภาครัฐไม่สามารถให้ตำรวจควบคุมฝูงชนอยู่บนถนนนาน 6 ชั่วโมง ติดต่อกัน 1 เดือนได้ จากปีก่อนรัฐยอมให้เกิดการชุมนุมระยะหนึ่ง หากมองว่า ควบคุมไม่ได้หรือเข้าไปในสถานที่รัฐไม่ยอมถึงจะเข้าควบคุมฝูงชน แต่ตอนนี้ "รัฐไม่ยอมแม้แต่จะให้เริ่มต้นการชุมนุม" เพื่อลดระยะเวลาการชุมนุมให้สั้นและลดการขยายตัวของมวลชนให้น้อยลง อีกทางหนึ่ง คือ ยกระดับการควบคุมฝูงชน หากรัฐมองว่า เป็นการชุมนุมที่รุนแรง หรือเข้าไปในสถานที่ที่รัฐยินยอมไม่ได้ ซึ่งการชุมนุมก่อนหน้านี้จะเห็นชัดเจนว่า การเตรียมการของเจ้าหน้าที่รัฐแตกต่างจากเดิมมาก ซึ่ง "เป็นสัญญาณว่าการยกระดับจะเกิดขึ้นแน่นอน" 1.การรวมขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชน ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นจากเครือข่ายที่กระจัดกระจายอยู่ เพื่อทำงานร่วมกัน แม้ว่าจะยาก เพราะแต่ละกลุ่มมีจุดยืน และเพดานข้อเรียกร้องแตกต่างกัน แต่ในอนาคตจะมีจุดหนึ่งที่อาจทำให้ต้องรวมตัวกันจริง ๆ 2.การชุมนุมมีแนวโน้มยกระดับมากขึ้น เนื่องจากข้อเรียกร้องและปัญหาไม่ได้มีการเปลี่ยนเปลงในช่วง 1 ปีกว่า ๆ หรือแม้แต่ 7 ปี ตั้งแต่มีรัฐประหาร จึงอาจทำให้การชุมนุมอย่างสันติ ยกระดับไปเป็นการเข้าไปในสถานที่ที่รัฐยอมไม่ได้ หรือศูนย์กลางอำนาจของรัฐไทย ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐเช่นกัน 3.รักษาระดับการชุมนุมเป็นระยะแบบปัจจุบัน รวมตัวชุมนุมช่วงเย็น เมื่อถึงเวลาเคอร์ฟิว 21.00 น. ก็เลิกแล้วกลับบ้าน หากทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ อาจจะถึงจุดหนึ่งที่ COVID-19 เริ่มเบาบางลง แต่ปัญหาเศรษฐกิจยังคงอยู่ แล้วมวลชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจจะลุกขึ้นมาเคลื่อนไหว โดยที่กลุ่มมวลชนเดิมไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม ดร.กนกรัตน์ กล่าวว่า ในแง่หนึ่งตัวรัฐพยายามผลักภาระทั้งหมด ให้เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน และเจ้าหน้าที่ต้องเผชิญหน้ากับการปะทะตลอดเวลา ความไม่พอใจ ความกดดัน จะทำให้เจ้าหน้าที่กลายเป็นคู่ขัดแย้งกับมวลชนคนธรรมดา ขณะเดียวกันประชาชนก็รู้สึกว่า ตัวเองถูกกระทำมากขึ้น จึงกลายเป็นการต่อสู้ทางกายภาพ ไม่เกี่ยวกับข้อเรียกร้อง ย้อนกลับมาถึงสาเหตุของความรุนแรงในการชุมนุม ซึ่งเกิดจากการเรียกร้องข้อเรียกร้องเดิม ๆ เป็นระยะเวลานาน แต่ไม่เคยได้รับการตอบสนองจากรัฐ ดังนั้น การเผาสิ่งของต่าง ๆ จึงสะท้อนถึงระดับความไม่พอใจ ที่ขยายตัวขึ้นของประชาชน ดร.กนกรัตน์ มองว่า โลกในของการศึกษาด้านความมั่นคงสมัยใหม่ ต้องมองว่าภัยคุกคามของรัฐมีหลากหลายมิติ แล้วการใช้วิธีควบคุมฝูงชนเต็มรูปแบบ มาจัดการกับมวลชนที่กำลังเรียกร้องเรื่องปากท้องและความเป็นความตาย จะมองมวลชนเป็นศัตรูไม่ได้ การใช้อาวุธต่าง ๆ เจ้าหน้าที่รัฐอาจมองเป็นไปตามหลักสากล ผู้ชุมนุมต่างหากที่กำลังใช้ความรุนแรงกับภาครัฐ แต่หากมองแบบนี้จะยิ่งเป็นการผลักให้มวลชนกลายเป็นศัตรูของรัฐ กลายเป็นขั้วตรงข้ามของรัฐมากขึ้น ผศ.ดร.กนกรัตน์บอกว่า การคุยกัน การยอมถอย เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การแก้ไขปัญหาไม่ใช่การปราบปรามแน่นอน เข้าใจว่าเป็นเรื่องยากของกลไกรัฐไทย แต่ทั้งหมดเป็นปัญหาจากประสิทธิภาพการทำงานของรัฐ สิ่งที่น่าจะตั้งสติและทำจริง ๆ คือ การปฏิรูปนโยบาย และการบังคับใช้นโยบายสาธารณะแทนการจัดการกับผู้ชุมนุมแบบนี้ ดร.กนกรัตน์มองว่า ในแง่การแก้ปัญหาระยะสั้น หลายคนมองว่า การลาออกของนายกรัฐมนตรี จะช่วยให้ปัญหาทุกอย่างจบ แต่อาจจะช่วยในระยะสั้น โดยช่วยลดความตึงเครียดระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ลงได้บ้าง แต่ประเด็นนี้เป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐเลือกไม่ทำ เพราะในแง่สมการทางการเมืองของผู้มีอำนาจ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกเป็นเรื่องค่อนข้างยาก อย่างไรก็ตาม การประกาศการปฏิรูป เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ ลดอำนาจ ส.ว.ในการโหวต หรือการประกาศไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม เปิดโอกาสให้ชุมนุมอย่างสันติ และเว้นระยะห่างไม่ให้นำไปสู่การแพร่ระบาด เป็นการแก้สมการที่ง่ายกว่า แต่เมื่อรัฐกำลังกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด หลังจากนั้นจะผิดไปหมด หากยังมองว่าจะยอมไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว ผศ.ดร.กนกรัตน์กล่าวว่า กรณีตำรวจเตือนพ่อแม่ดูแลลูกนั้น ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ หลังจากปราบปรามผู้ชุมนุมมา 5-6 วัน รัฐเผชิญปัญหาว่ามวลชนไม่น้อยลง และไม่กลัวต่อเครื่องมือในการควบคุมฝูงชน รัฐพยายามที่จะยกระดับการจัดการ แต่ไม่ใช่การยกระดับที่ไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ารัฐใช้ความรุนแรงจนเกินไป จึงใช้ "เครื่องมือเก่า ๆ" กลับไปเตือนผู้ปกครอง เหมือนปัญหาเด็กแว้นที่บอกพ่อแม่อย่าปล่อยให้ลูกออกมานอกบ้าน เหมือนการเข้าไปควบคุมผ่านกลไกสถาบันครอบครัว ผศ.ดร.กนกรัตน์ ทิ้งท้ายกับไทยพีบีเอสออนไลน์ว่า การขู่ของตำรวจเช่นนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะการชุมนุมที่ดำเนินมาตลอด 1 ปี ความสัมพันธ์ของครอบครัวได้ผ่านความขัดแย้ง การยอมรับซึ่งกันและกัน และผ่านเส้นที่พ่อแม่จะสามารถหยุดกิจกรรมทางการเมืองของลูกไเกม ยิง ปลา คา สิ โน ได้ เงิน จริง ไหมด้ ทำให้ชุดความสัมพันธ์ในครอบครัวได้เปลี่ยนไปแล้ว
กว่า 1 ปี กับชุมนุมการเมืองในประเทศไทย ข้อเรียกร้องจากหลายกลุ่ม จุดยืนที่ดันเพดานสูงไปสู่การตอบโต้ของรัฐ ที่เริ่มยกระดับมากขึ้น 1 ปีประเทศไทยได้บทเรียนอะไร? แล้วก้าวต่อไปในอนาคตของทั้ง 2 ฝ่ายจะเป็นอย่
- เกม ยิง ปลา คา สิ โน ได้ เงิน จริง ไหม
- area168 slot
- wwwufa888
- ro918kissfhm99
- แจก เครดิต ยืนยัน เบอร์ รับ เครดิต ฟรี 2020
- goldenslot สมัคร