วันนี้ (14 ก.ย.2564) นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า อย.ยังไม่อนุญาตใwbc888
วันนี้ (9 พ.ย.2564) จากกรณีที่สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ได้มีการเสนอมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย และมีข้อเสนอให้นำ "ช้อปดีมีคืน" กลับมาใช้อีกครั้งในปีนี้ โดยได้มีหนังสือถึงรัฐบาลในเดือน ก.ค.2564 และจากข่าวของคณะ
จุฬาฯสรุปหาวิธีแก้กัดเซาะหาดพัทยา ใช้งบฯเจ้าท่า 387 ล้าน ฟันธง 8 เดือนได้หาดกว้างดูดนักเที่ยว 1.7 ล้านคน จุฬาฯสรุปหาวิธีแก้กัดเซาะหาดพัทยา ใช้งบฯเจ้าท่า 387 ล้าน ฟันธง 8 เดือนได้หาดกว้างดูดนักเที่ยว 1.7 ล้านคน เมื่อวันที่ 29 กันยายน อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ มีการสวนา “สรุปโครงการศึกษาวางแผนแม่บทและสำรวจออกแบบเพื่อเสริมทรายชายหาดพัทยา” ซึ่งคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดขึ้น โดยมี ศาสตราจารย์ นายแพทย์ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วย นายสมชาย สุมนัสขจรกุล ผู้อำนวยการสำนักวิศวกรรม กรมเจ้าท่า นายรณกิจ เอกะสิงห์ รองนายกเมืองพัทยา ศาสตราจารย์ ดร.สุพจน์ หารหนองบัว คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าร่วมงาน พร้อมด้วยคณะสื่อมวลชนและผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัย และข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่าโครงการศึกษาวางแผนแม่บทและสำรวจออกแบบพื้นที่ เพื่อเสริมทรายชายหาดพัทยา ขณะนี้ได้ศึกษาวิจัยเสร็จเรียบร้อยแล้วและเตรียมแหล่งทรายจากปากน้ำระยองจำนวน 369,035 ลบ.เมตร มาเติมทรายชายหาดพัทยาจนได้ความกว้าง 35 เมตร ด้วยงบประมาณ 387 ล้านบาท ได้ทำการศึกษาออกแบบและจัดวางขั้นตอนเสริมทรายเสร็จสมบูรณ์ อยู่ในขั้นตอนรอยื่นขออนุมัติผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก่อนเดินหน้าโครงการฯ เพื่อทำให้หาดพัทยาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีหาดทรายสวยงามที่สุดในภาคตะวันออก ดึงนักท่องเที่ยวกลับมาเพิ่มขึ้นกว่า 1.7 ล้านคน “แนวทางแก้ไขการกัดเซาะชายฝั่งที่คณะนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ดำเนินการออกแบบและวิเคราะห์ผลกระทบในทุกด้านทั้งข้อดีและข้อเสียของทั้ง 4 แนวทางเลือกที่ได้เคยเสนอมีข้อสรุปจากผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่พัทยา คือให้ใช้รูปแบบการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายหาดพัทยาด้วยวิธีการเสริมทรายอย่างเดียวโดยไม่มีโครงสร้างใดๆ และจะดำเนินการเสริมทรายที่ชายหาดให้มีความกว้าง 35 เมตรเท่ากับความกว้างของหาดพัทยาในอดีต ออกแบบโดยใช้ถุงทรายทำจากใยสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติทนต่อแสงแดดทนต่อการกัดกร่อนของน้ำทะเลเพื่อเป็นแนวกันชน(Buffer Zone) ฝังไว้ใต้พื้นที่ทราย เพื่อป้องกันการกัดเซาะที่รุนแรงจากคลื่นลมที่ผิดปกติและช่วงที่มีพายุไต้ฝุ่นเข้าหาดพัทยา ระยะแนวกันชนได้ออกแบบไว้ห่างจากแนวกำแพงริมทางเดินชายหาดประมาณ 15 เมตร โครงการฯจะดำเนินการเสริมหาดทรายแนวหาดพัทยาทั้งสิ้นยาว 2,785 เมตร ตั้งแต่หาดพัทยาเหนือถึงหน้าหาดพัทยาใต้บริเวณทางเข้าวอล์คกิ้งสตรีท(walking street) โดยใช้ทรายในการดำเนินงานทั้งสิ้น 369,035 ลูกบาศก์เมตร งบประมาณทั้งหมดในการดำเนินการรวมแล้ว 387 ล้านบาท" ศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่าจากการวิเคราะห์หาดสมดุลจากแบบจำลองทางวิศวกรรมชายฝั่งของหาดพัทยาในกรณีหลังจากมีโครงการเสริมทรายชายหาดกว้าง 35 เมตร พบว่าการเปลี่ยนแปลงระดับชายหาดสมดุลและความกว้างชายหาดในกรณีต่างๆทั้ง น้ำขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุด ชายหาดพัทยาจะใช้เวลาในการปรับสภาพเข้าสู่สมดุลใน 3 ปีแรก เมื่อผ่านปีที่ wbc8883 ไปแล้วความกว้างชายหาดจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผลวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงระดับชายหาดในแต่ละช่วงปีคือ ความกว้างชายหาดนับตั้งแต่แนวกำแพงริมทางเดินชายฝั่งถึงระดับน้ำทะเลหลังจากที่ชายหาดสมดุลแล้ว การเปลี่ยนแปลงชายหาดจะเป็นไปตามค่าระดับน้ำขึ้น-น้ำลงของอ่าวพัทยาโดยตรง นอกจากนั้นจากแบบจำลองแสดงให้เห็นว่าหลังจากที่ก่อสร้างโครงการเสริมทรายเสร็จ หาดพัทยาจะถูกกักเซาะด้วยอัตรา 0.8 เมตรต่อปี โดยในอีก 10-14 ปีข้างหน้าการกัดเซาะจะถึงแนวกันชนที่ได้สร้างไว้ จึงจำเป็นต้องมีการซ่อมแซมชายหาดด้วยวิธีการเสริมทรายใหม่ ทุกๆระยะเวลา 10-14 ปีในอนาคต อย่างไรก็ตามระยะเวลาการซ่อมแซมชายหาดในอนาคตอาจจะไม่ได้เป็นไปตามทฤษีเสมอไปซึ่งอาจจะเร็วกว่าที่กำหนดแค่ 5-7 ปีหากมีคลื่นลมทางตะวันตกที่รุนแรงผิดปกติเหมือน ปี 2553 หรือมีไต้ฝุ่นพัดเข้ามาเป็นต้น ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการเก็บตัวอย่างทรายบริเวณชายหาดพัทยาตั้งแต่พัทยาเหนือถึงพัทยาใต้ จำนวน 11 ตัวอย่างและแหล่งทรายจากสันดอนทรายปากแม่น้ำระยองมีการเก็บทั้งสิ้นจำนวน 42 ตัวอย่างและตัวอย่างแหล่งทรายจากการเจาะสำรวจเนินทรายนอกชายฝั่งอ่าวพัทยาจำนวนทั้งสิ้น 23 ตัวอย่าง พร้อมกับส่งตัวอย่างทรายทั้งหมดได้เข้าห้องปฎิบัติการเพื่อวิเคราะห์การคัดขนาดของตะกอน พบว่าแหล่งทรายจากปากแม่น้ำระยองมีการกระจายตัวของเม็ดตะกอนขนาดทรายหยาบถึงปานกลาง จากการวิเคราะห์ขนาดตะกอน Sand-Silt-Clay Fraction พบว่าทรายจากแหล่งปากน้ำระยองมีปริมาณทรายแป้งและเม็ดดินน้อยกว่า 3 % จึงความใกล้เคียงกับทรายชายหาดพัทยามากที่สุดน่าจะมีความเหมาะสมที่จะนำมาเสริมทรายในอนาคต อีกทั้งแหล่งทรายที่ได้เป็นทรายที่มีปริมาณมากในจังหวัดระยองและกำลังเป็นปัญหาของพื้นที่ จ.ระยองทำให้การนำมาใช้เติมที่หาดพัทยาจะช่วยลดปัญหาปริมาณทรายขวางทางน้ำได้อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ทางคณะผู้วิจัยได้มีการศึกษามาตราการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสริมทรายชายหาดพัทยา และได้วางแนวทางไว้โดยขั้นตอนที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ขณะนี้เตรียมให้ข้อมูลสรุปกับคนในพื้นที่ครั้งสุดท้ายในวันที่ 17 ตุลาคม ศกนี้ ก่อนที่จะส่งข้อมูลทั้งหมดให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หลังจากผ่านขั้นตอนแล้ว คาดว่า 8 เดือนสามารถดำเนินการและคืนพื้นที่ชายหาดให้กับหาดพัทยาได้ภายใน 8 เดือน เมื่อวันที่ 29 กันยายน อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ มีการสวนา “สรุปโครงการศึกษาวางแผนแม่บทและสำรวจออกแบบเพื่อเสริมทรายชายหาดพัทยา” ซึ่งคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดขึ้น โดยมี ศาสตราจารย์ นายแพทย์ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วย นายสมชาย สุมนัสขจรกุล ผู้อำนวยการสำนักวิศวกรรม กรมเจ้าท่า นายรณกิจ เอกะสิงห์ รองนายกเมืองพัทยา ศาสตราจารย์ ดร.สุพจน์ หารหนองบัว คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าร่วมงาน พร้อมด้วยคณะสื่อมวลชนและผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัย และข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่าโครงการศึกษาวางแผนแม่บทและสำรวจออกแบบพื้นที่ เพื่อเสริมทรายชายหาดพัทยา ขณะนี้ได้ศึกษาวิจัยเสร็จเรียบร้อยแล้วและเตรียมแหล่งทรายจากปากน้ำระยองจำนวน 369,035 ลบ.เมตร มาเติมทรายชายหาดพัทยาจนได้ความกว้าง 35 เมตร ด้วยงบประมาณ 387 ล้านบาท ได้ทำการศึกษาออกแบบและจัดวางขั้นตอนเสริมทรายเสร็จสมบูรณ์ อยู่ในขั้นตอนรอยื่นขออนุมัติผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก่อนเดินหน้าโครงการฯ เพื่อทำให้หาดพัทยาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีหาดทรายสวยงามที่สุดในภาคตะวันออก ดึงนักท่องเที่ยวกลับมาเพิ่มขึ้นกว่า 1.7 ล้านคน “แนวทางแก้ไขการกัดเซาะชายฝั่งที่คณะนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ดำเนินการออกแบบและวิเคราะห์ผลกระทบในทุกด้านทั้งข้อดีและข้อเสียของทั้ง 4 แนวทางเลือกที่ได้เคยเสนอมีข้อสรุปจากผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่พัทยา คือให้ใช้รูปแบบการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายหาดพัทยาด้วยวิธีการเสริมทรายอย่างเดียวโดยไม่มีโครงสร้างใดๆ และจะดำเนินการเสริมทรายที่ชายหาดให้มีความกว้าง 35 เมตรเท่ากับความกว้างของหาดพัทยาในอดีต ออกแบบโดยใช้ถุงทรายทำจากใยสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติทนต่อแสงแดดทนต่อการกัดกร่อนของน้ำทะเลเพื่อเป็นแนวกันชน(Buffer Zone) ฝังไว้ใต้พื้นที่ทราย เพื่อป้องกันการกัดเซาะที่รุนแรงจากคลื่นลมที่ผิดปกติและช่วงที่มีพายุไต้ฝุ่นเข้าหาดพัทยา ระยะแนวกันชนได้ออกแบบไว้ห่างจากแนวกำแพงริมทางเดินชายหาดประมาณ 15 เมตร โครงการฯจะดำเนินการเสริมหาดทรายแนวหาดพัทยาทั้งสิ้นยาว 2,785 เมตร ตั้งแต่หาดพัทยาเหนือถึงหน้าหาดพัทยาใต้บริเวณทางเข้าวอล์คกิ้งสตรีท(walking street) โดยใช้ทรายในการดำเนินงานทั้งสิ้น 369,035 ลูกบาศก์เมตร งบประมาณทั้งหมดในการดำเนินการรวมแล้ว 387 ล้านบาท" ศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่าจากการวิเคราะห์หาดสมดุลจากแบบจำลองทางวิศวกรรมชายฝั่งของหาดพัทยาในกรณีหลังจากมีโครงการเสริมทรายชายหาดกว้าง 35 เมตร พบว่าการเปลี่ยนแปลงระดับชายหาดสมดุลและความกว้างชายหาดในกรณีต่างๆทั้ง น้ำขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุด ชายหาดพัทยาจะใช้เวลาในการปรับสภาพเข้าสู่สมดุลใน 3 ปีแรก เมื่อผ่านปีที่ 3 ไปแล้วความกว้างชายหาดจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผลวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงระดับชายหาดในแต่ละช่วงปีคือ ความกว้างชายหาดนับตั้งแต่แนวกำแพงริมทางเดินชายฝั่งถึงระดับน้ำทะเลหลังจากที่ชายหาดสมดุลแล้ว การเปลี่ยนแปลงชายหาดจะเป็นไปตามค่าระดับน้ำขึ้น-น้ำลงของอ่าวพัทยาโดยตรง นอกจากนั้นจากแบบจำลองแสดงให้เห็นว่าหลังจากที่ก่อสร้างโครงการเสริมทรายเสร็จ หาดพัทยาจะถูกกักเซาะด้วยอัตรา 0.8 เมตรต่อปี โดยในอีก 10-14 ปีข้างหน้าการกัดเซาะจะถึงแนวกันชนที่ได้สร้างไว้ จึงจำเป็นต้องมีการซ่อมแซมชายหาดด้วยวิธีการเสริมทรายใหม่ ทุกๆระยะเวลา 10-14 ปีในอนาคต อย่างไรก็ตามระยะเวลาการซ่อมแซมชายหาดในอนาคตอาจจะไม่ได้เป็นไปตามทฤษีเสมอไปซึ่งอาจจะเร็วกว่าที่กำหนดแค่ 5-7 ปีหากมีคลื่นลมทางตะวันตกที่รุนแรงผิดปกติเหมือน ปี 2553 หรือมีไต้ฝุ่นพัดเข้ามาเป็นต้น ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการเก็บตัวอย่างทรายบริเวณชายหาดพัทยาตั้งแต่พัทยาเหนือถึงพัทยาใต้ จำนวน 11 ตัวอย่างและแหล่งทรายจากสันดอนทรายปากแม่น้ำระยองมีการเก็บทั้งสิ้นจำนวน 42 ตัวอย่างและตัวอย่างแหล่งทรายจากการเจาะสำรวจเนินทรายนอกชายฝั่งอ่าวพัทยาจำนวนทั้งสิ้น 23 ตัวอย่าง พร้อมกับส่งตัวอย่างทรายทั้งหมดได้เข้าห้องปฎิบัติการเพื่อวิเคราะห์การคัดขนาดของตะกอน พบว่าแหล่งทรายจากปากแม่น้ำระยองมีการกระจายตัวของเม็ดตะกอนขนาดทรายหยาบถึงปานกลาง จากการวิเคราะห์ขนาดตะกอน Sand-Silt-Clay Fraction พบว่าทรายจากแหล่งปากน้ำระยองมีปริมาณทรายแป้งและเม็ดดินน้อยกว่า 3 % จึงความใกล้เคียงกับทรายชายหาดพัทยามากที่สุดน่าจะมีความเหมาะสมที่จะนำมาเสริมทรายในอนาคต อีกทั้งแหล่งทรายที่ได้เป็นทรายที่มีปริมาณมากในจังหวัดระยองและกำลังเป็นปัญหาของพื้นที่ จ.ระยองทำให้การนำมาใช้เติมที่หาดพัทยาจะช่วยลดปัญหาปริมาณทรายขวางทางน้ำได้อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ทางคณะผู้วิจัยได้มีการศึกษามาตราการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสริมทรายชายหาดพัทยา และได้วางแนวทางไว้โดยขั้นตอนที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ขณะนี้เตรียมให้ข้อมูลสรุปกับคนในพื้นที่ครั้งสุดท้ายในวันที่ 17 ตุลาคม ศกนี้ ก่อนที่จะส่งข้อมูลทั้งหมดให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หลังจากผ่านขั้นตอนแล้ว คาดว่า 8 เดือนสามารถดำเนินการและคืนพื้นที่ชายหาดให้กับหาดพัทยาได้ภายใน 8 เดือน
กรณีพิพาท “จุดหมุดนิรนาม ส.ป.ก.” ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ หลังพบมีการบุกรุกแผ้วถางป่า เพื่อทำการเก
wbc888 -pgslot เครดิต ฟรี 30เกม สล็อต ออนไลน์ ได้ เงิน จริง ios, livescore ieri sera, Bet888 thai
วันนี้ (14 ก.ย.2564) นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า อย.ยังไม่อนุญาตใwbc888
วันนี้ (9 พ.ย.2564) จากกรณีที่สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ได้มีการเสนอมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย และมีข้อเสนอให้นำ "ช้อปดีมีคืน" กลับมาใช้อีกครั้งในปีนี้ โดยได้มีหนังสือถึงรัฐบาลในเดือน ก.ค.2564 และจากข่าวของคณะ
จุฬาฯสรุปหาวิธีแก้กัดเซาะหาดพัทยา ใช้งบฯเจ้าท่า 387 ล้าน ฟันธง 8 เดือนได้หาดกว้างดูดนักเที่ยว 1.7 ล้านคน จุฬาฯสรุปหาวิธีแก้กัดเซาะหาดพัทยา ใช้งบฯเจ้าท่า 387 ล้าน ฟันธง 8 เดือนได้หาดกว้างดูดนักเที่ยว 1.7 ล้านคน เมื่อวันที่ 29 กันยายน อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ มีการสวนา “สรุปโครงการศึกษาวางแผนแม่บทและสำรวจออกแบบเพื่อเสริมทรายชายหาดพัทยา” ซึ่งคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดขึ้น โดยมี ศาสตราจารย์ นายแพทย์ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วย นายสมชาย สุมนัสขจรกุล ผู้อำนวยการสำนักวิศวกรรม กรมเจ้าท่า นายรณกิจ เอกะสิงห์ รองนายกเมืองพัทยา ศาสตราจารย์ ดร.สุพจน์ หารหนองบัว คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าร่วมงาน พร้อมด้วยคณะสื่อมวลชนและผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัย และข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่าโครงการศึกษาวางแผนแม่บทและสำรวจออกแบบพื้นที่ เพื่อเสริมทรายชายหาดพัทยา ขณะนี้ได้ศึกษาวิจัยเสร็จเรียบร้อยแล้วและเตรียมแหล่งทรายจากปากน้ำระยองจำนวน 369,035 ลบ.เมตร มาเติมทรายชายหาดพัทยาจนได้ความกว้าง 35 เมตร ด้วยงบประมาณ 387 ล้านบาท ได้ทำการศึกษาออกแบบและจัดวางขั้นตอนเสริมทรายเสร็จสมบูรณ์ อยู่ในขั้นตอนรอยื่นขออนุมัติผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก่อนเดินหน้าโครงการฯ เพื่อทำให้หาดพัทยาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีหาดทรายสวยงามที่สุดในภาคตะวันออก ดึงนักท่องเที่ยวกลับมาเพิ่มขึ้นกว่า 1.7 ล้านคน “แนวทางแก้ไขการกัดเซาะชายฝั่งที่คณะนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ดำเนินการออกแบบและวิเคราะห์ผลกระทบในทุกด้านทั้งข้อดีและข้อเสียของทั้ง 4 แนวทางเลือกที่ได้เคยเสนอมีข้อสรุปจากผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่พัทยา คือให้ใช้รูปแบบการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายหาดพัทยาด้วยวิธีการเสริมทรายอย่างเดียวโดยไม่มีโครงสร้างใดๆ และจะดำเนินการเสริมทรายที่ชายหาดให้มีความกว้าง 35 เมตรเท่ากับความกว้างของหาดพัทยาในอดีต ออกแบบโดยใช้ถุงทรายทำจากใยสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติทนต่อแสงแดดทนต่อการกัดกร่อนของน้ำทะเลเพื่อเป็นแนวกันชน(Buffer Zone) ฝังไว้ใต้พื้นที่ทราย เพื่อป้องกันการกัดเซาะที่รุนแรงจากคลื่นลมที่ผิดปกติและช่วงที่มีพายุไต้ฝุ่นเข้าหาดพัทยา ระยะแนวกันชนได้ออกแบบไว้ห่างจากแนวกำแพงริมทางเดินชายหาดประมาณ 15 เมตร โครงการฯจะดำเนินการเสริมหาดทรายแนวหาดพัทยาทั้งสิ้นยาว 2,785 เมตร ตั้งแต่หาดพัทยาเหนือถึงหน้าหาดพัทยาใต้บริเวณทางเข้าวอล์คกิ้งสตรีท(walking street) โดยใช้ทรายในการดำเนินงานทั้งสิ้น 369,035 ลูกบาศก์เมตร งบประมาณทั้งหมดในการดำเนินการรวมแล้ว 387 ล้านบาท" ศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่าจากการวิเคราะห์หาดสมดุลจากแบบจำลองทางวิศวกรรมชายฝั่งของหาดพัทยาในกรณีหลังจากมีโครงการเสริมทรายชายหาดกว้าง 35 เมตร พบว่าการเปลี่ยนแปลงระดับชายหาดสมดุลและความกว้างชายหาดในกรณีต่างๆทั้ง น้ำขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุด ชายหาดพัทยาจะใช้เวลาในการปรับสภาพเข้าสู่สมดุลใน 3 ปีแรก เมื่อผ่านปีที่ wbc8883 ไปแล้วความกว้างชายหาดจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผลวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงระดับชายหาดในแต่ละช่วงปีคือ ความกว้างชายหาดนับตั้งแต่แนวกำแพงริมทางเดินชายฝั่งถึงระดับน้ำทะเลหลังจากที่ชายหาดสมดุลแล้ว การเปลี่ยนแปลงชายหาดจะเป็นไปตามค่าระดับน้ำขึ้น-น้ำลงของอ่าวพัทยาโดยตรง นอกจากนั้นจากแบบจำลองแสดงให้เห็นว่าหลังจากที่ก่อสร้างโครงการเสริมทรายเสร็จ หาดพัทยาจะถูกกักเซาะด้วยอัตรา 0.8 เมตรต่อปี โดยในอีก 10-14 ปีข้างหน้าการกัดเซาะจะถึงแนวกันชนที่ได้สร้างไว้ จึงจำเป็นต้องมีการซ่อมแซมชายหาดด้วยวิธีการเสริมทรายใหม่ ทุกๆระยะเวลา 10-14 ปีในอนาคต อย่างไรก็ตามระยะเวลาการซ่อมแซมชายหาดในอนาคตอาจจะไม่ได้เป็นไปตามทฤษีเสมอไปซึ่งอาจจะเร็วกว่าที่กำหนดแค่ 5-7 ปีหากมีคลื่นลมทางตะวันตกที่รุนแรงผิดปกติเหมือน ปี 2553 หรือมีไต้ฝุ่นพัดเข้ามาเป็นต้น ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการเก็บตัวอย่างทรายบริเวณชายหาดพัทยาตั้งแต่พัทยาเหนือถึงพัทยาใต้ จำนวน 11 ตัวอย่างและแหล่งทรายจากสันดอนทรายปากแม่น้ำระยองมีการเก็บทั้งสิ้นจำนวน 42 ตัวอย่างและตัวอย่างแหล่งทรายจากการเจาะสำรวจเนินทรายนอกชายฝั่งอ่าวพัทยาจำนวนทั้งสิ้น 23 ตัวอย่าง พร้อมกับส่งตัวอย่างทรายทั้งหมดได้เข้าห้องปฎิบัติการเพื่อวิเคราะห์การคัดขนาดของตะกอน พบว่าแหล่งทรายจากปากแม่น้ำระยองมีการกระจายตัวของเม็ดตะกอนขนาดทรายหยาบถึงปานกลาง จากการวิเคราะห์ขนาดตะกอน Sand-Silt-Clay Fraction พบว่าทรายจากแหล่งปากน้ำระยองมีปริมาณทรายแป้งและเม็ดดินน้อยกว่า 3 % จึงความใกล้เคียงกับทรายชายหาดพัทยามากที่สุดน่าจะมีความเหมาะสมที่จะนำมาเสริมทรายในอนาคต อีกทั้งแหล่งทรายที่ได้เป็นทรายที่มีปริมาณมากในจังหวัดระยองและกำลังเป็นปัญหาของพื้นที่ จ.ระยองทำให้การนำมาใช้เติมที่หาดพัทยาจะช่วยลดปัญหาปริมาณทรายขวางทางน้ำได้อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ทางคณะผู้วิจัยได้มีการศึกษามาตราการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสริมทรายชายหาดพัทยา และได้วางแนวทางไว้โดยขั้นตอนที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ขณะนี้เตรียมให้ข้อมูลสรุปกับคนในพื้นที่ครั้งสุดท้ายในวันที่ 17 ตุลาคม ศกนี้ ก่อนที่จะส่งข้อมูลทั้งหมดให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หลังจากผ่านขั้นตอนแล้ว คาดว่า 8 เดือนสามารถดำเนินการและคืนพื้นที่ชายหาดให้กับหาดพัทยาได้ภายใน 8 เดือน เมื่อวันที่ 29 กันยายน อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ มีการสวนา “สรุปโครงการศึกษาวางแผนแม่บทและสำรวจออกแบบเพื่อเสริมทรายชายหาดพัทยา” ซึ่งคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดขึ้น โดยมี ศาสตราจารย์ นายแพทย์ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วย นายสมชาย สุมนัสขจรกุล ผู้อำนวยการสำนักวิศวกรรม กรมเจ้าท่า นายรณกิจ เอกะสิงห์ รองนายกเมืองพัทยา ศาสตราจารย์ ดร.สุพจน์ หารหนองบัว คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าร่วมงาน พร้อมด้วยคณะสื่อมวลชนและผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัย และข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่าโครงการศึกษาวางแผนแม่บทและสำรวจออกแบบพื้นที่ เพื่อเสริมทรายชายหาดพัทยา ขณะนี้ได้ศึกษาวิจัยเสร็จเรียบร้อยแล้วและเตรียมแหล่งทรายจากปากน้ำระยองจำนวน 369,035 ลบ.เมตร มาเติมทรายชายหาดพัทยาจนได้ความกว้าง 35 เมตร ด้วยงบประมาณ 387 ล้านบาท ได้ทำการศึกษาออกแบบและจัดวางขั้นตอนเสริมทรายเสร็จสมบูรณ์ อยู่ในขั้นตอนรอยื่นขออนุมัติผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก่อนเดินหน้าโครงการฯ เพื่อทำให้หาดพัทยาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีหาดทรายสวยงามที่สุดในภาคตะวันออก ดึงนักท่องเที่ยวกลับมาเพิ่มขึ้นกว่า 1.7 ล้านคน “แนวทางแก้ไขการกัดเซาะชายฝั่งที่คณะนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ดำเนินการออกแบบและวิเคราะห์ผลกระทบในทุกด้านทั้งข้อดีและข้อเสียของทั้ง 4 แนวทางเลือกที่ได้เคยเสนอมีข้อสรุปจากผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่พัทยา คือให้ใช้รูปแบบการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายหาดพัทยาด้วยวิธีการเสริมทรายอย่างเดียวโดยไม่มีโครงสร้างใดๆ และจะดำเนินการเสริมทรายที่ชายหาดให้มีความกว้าง 35 เมตรเท่ากับความกว้างของหาดพัทยาในอดีต ออกแบบโดยใช้ถุงทรายทำจากใยสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติทนต่อแสงแดดทนต่อการกัดกร่อนของน้ำทะเลเพื่อเป็นแนวกันชน(Buffer Zone) ฝังไว้ใต้พื้นที่ทราย เพื่อป้องกันการกัดเซาะที่รุนแรงจากคลื่นลมที่ผิดปกติและช่วงที่มีพายุไต้ฝุ่นเข้าหาดพัทยา ระยะแนวกันชนได้ออกแบบไว้ห่างจากแนวกำแพงริมทางเดินชายหาดประมาณ 15 เมตร โครงการฯจะดำเนินการเสริมหาดทรายแนวหาดพัทยาทั้งสิ้นยาว 2,785 เมตร ตั้งแต่หาดพัทยาเหนือถึงหน้าหาดพัทยาใต้บริเวณทางเข้าวอล์คกิ้งสตรีท(walking street) โดยใช้ทรายในการดำเนินงานทั้งสิ้น 369,035 ลูกบาศก์เมตร งบประมาณทั้งหมดในการดำเนินการรวมแล้ว 387 ล้านบาท" ศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่าจากการวิเคราะห์หาดสมดุลจากแบบจำลองทางวิศวกรรมชายฝั่งของหาดพัทยาในกรณีหลังจากมีโครงการเสริมทรายชายหาดกว้าง 35 เมตร พบว่าการเปลี่ยนแปลงระดับชายหาดสมดุลและความกว้างชายหาดในกรณีต่างๆทั้ง น้ำขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุด ชายหาดพัทยาจะใช้เวลาในการปรับสภาพเข้าสู่สมดุลใน 3 ปีแรก เมื่อผ่านปีที่ 3 ไปแล้วความกว้างชายหาดจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผลวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงระดับชายหาดในแต่ละช่วงปีคือ ความกว้างชายหาดนับตั้งแต่แนวกำแพงริมทางเดินชายฝั่งถึงระดับน้ำทะเลหลังจากที่ชายหาดสมดุลแล้ว การเปลี่ยนแปลงชายหาดจะเป็นไปตามค่าระดับน้ำขึ้น-น้ำลงของอ่าวพัทยาโดยตรง นอกจากนั้นจากแบบจำลองแสดงให้เห็นว่าหลังจากที่ก่อสร้างโครงการเสริมทรายเสร็จ หาดพัทยาจะถูกกักเซาะด้วยอัตรา 0.8 เมตรต่อปี โดยในอีก 10-14 ปีข้างหน้าการกัดเซาะจะถึงแนวกันชนที่ได้สร้างไว้ จึงจำเป็นต้องมีการซ่อมแซมชายหาดด้วยวิธีการเสริมทรายใหม่ ทุกๆระยะเวลา 10-14 ปีในอนาคต อย่างไรก็ตามระยะเวลาการซ่อมแซมชายหาดในอนาคตอาจจะไม่ได้เป็นไปตามทฤษีเสมอไปซึ่งอาจจะเร็วกว่าที่กำหนดแค่ 5-7 ปีหากมีคลื่นลมทางตะวันตกที่รุนแรงผิดปกติเหมือน ปี 2553 หรือมีไต้ฝุ่นพัดเข้ามาเป็นต้น ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการเก็บตัวอย่างทรายบริเวณชายหาดพัทยาตั้งแต่พัทยาเหนือถึงพัทยาใต้ จำนวน 11 ตัวอย่างและแหล่งทรายจากสันดอนทรายปากแม่น้ำระยองมีการเก็บทั้งสิ้นจำนวน 42 ตัวอย่างและตัวอย่างแหล่งทรายจากการเจาะสำรวจเนินทรายนอกชายฝั่งอ่าวพัทยาจำนวนทั้งสิ้น 23 ตัวอย่าง พร้อมกับส่งตัวอย่างทรายทั้งหมดได้เข้าห้องปฎิบัติการเพื่อวิเคราะห์การคัดขนาดของตะกอน พบว่าแหล่งทรายจากปากแม่น้ำระยองมีการกระจายตัวของเม็ดตะกอนขนาดทรายหยาบถึงปานกลาง จากการวิเคราะห์ขนาดตะกอน Sand-Silt-Clay Fraction พบว่าทรายจากแหล่งปากน้ำระยองมีปริมาณทรายแป้งและเม็ดดินน้อยกว่า 3 % จึงความใกล้เคียงกับทรายชายหาดพัทยามากที่สุดน่าจะมีความเหมาะสมที่จะนำมาเสริมทรายในอนาคต อีกทั้งแหล่งทรายที่ได้เป็นทรายที่มีปริมาณมากในจังหวัดระยองและกำลังเป็นปัญหาของพื้นที่ จ.ระยองทำให้การนำมาใช้เติมที่หาดพัทยาจะช่วยลดปัญหาปริมาณทรายขวางทางน้ำได้อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ทางคณะผู้วิจัยได้มีการศึกษามาตราการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสริมทรายชายหาดพัทยา และได้วางแนวทางไว้โดยขั้นตอนที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ขณะนี้เตรียมให้ข้อมูลสรุปกับคนในพื้นที่ครั้งสุดท้ายในวันที่ 17 ตุลาคม ศกนี้ ก่อนที่จะส่งข้อมูลทั้งหมดให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หลังจากผ่านขั้นตอนแล้ว คาดว่า 8 เดือนสามารถดำเนินการและคืนพื้นที่ชายหาดให้กับหาดพัทยาได้ภายใน 8 เดือน
กรณีพิพาท “จุดหมุดนิรนาม ส.ป.ก.” ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ หลังพบมีการบุกรุกแผ้วถางป่า เพื่อทำการเก