กรณีมีการเผยแพร่ภาพเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ อ

วันนี้ (24 ก.ย.2567) นายณภัทร ประเสริฐดี ผู้อำนวยการสำนักช่าง เทศบาลนครเชียงใหม่ ระดมทีมงานเทศบาลนครเชียงใหม่ และผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ร่วมตั้งวอร์รูมริมสะพานนวรัตน์ กลางเมืองเชียงใหม่ เพื่อมอนิเตอร
วันนี้ (8 ก.พ.2564) นพ.เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทน ผอ.กองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ว่า ขณะนี้กรุงเทพฯ มีการค้นหาเชิงรุก
โครงการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง จ.เลย ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง ในยุครัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ล่าสุด นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ได้ประกาศเดินหน้าโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาล ทำให้มีกระแสวิพากษ์ วิจารณ์ และตั้งข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงสิ่งแวดล้อม ตั้งข้อสังเกต ตกแต่งตัวเลขให้โครงการ "คุ้มทุน" ดังเช่น นายนณณ์ ผาณิตวงศ์ นักวิชาการอิสระ และ กรรมการมูลนิธิโลกสีเขียว ที่โพสต์ในเฟซบุ๊ก Nonn Panitvong ถึงการสร้างกระเช้าภูกระดึง โดยมีเนื้อหา ดังนี้ เบื่อกระเช้าภูกระดึง คือ จากผลการศึกษาล่าสุด ของใครทำไว้ไม่รู้จำไม่ได้แล้ว ขอสรุปเร็ว ๆ ดังนี้ 1. ด้วยเทคโนโลยีการสร้างในปัจจุบัน ตัวกระเช้าเอง ไม่ได้สร้างผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมเท่าไหร่ ลำพังสร้างกระเช้าไม่ใช่ปัญหา 2.แต่ผลการศึกษาทางด้านเศรษฐกิจ มันระบุว่า ตัวงบประมาณที่จะใช้สร้างและการดูแลรักษา ลำพังนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวทั่ว ๆ ไปมันไม่เพียงพอที่จะให้คุ้มทุนได้เพราะ ตัวภูกระดึงเองเป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดดเดี่ยว ใครจะมาตรงนั้นคือจะมาภูกระดึงเท่านั้น ซึ่งพอขึ้นไปข้างบนมันไม่ได้มีอะไรที่จะรับการท่องเที่ยวให้คนมาเยอะแยะได้ และไม่มีอะไรดึงดูดให้คนขึ้นไปชมวิวแล้วกลับ เหมือนสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆแห่งในต่างประเทศที่ให้ขึ้นไปดูวิว หรือไหว้พระ แบบเป็นนักท่องเที่ยวด่วนๆ อยู่ไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมงก็กลับ มันไม่มีอะไรรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นเลย ดังนั้น... มันมีการยัดโครงการศูนย์ศึกษาธรรมชาติอะไรไม่รู้ไว้ข้างบนหลังแปด้วย แล้วก็คาดการณ์ให้มันคุ้มทุนว่า จะมีนักเรียนหรือใครก็ไม่รู้ขึ้นไปเพื่อเที่ยวศูนย์ที่ว่านี่แล้วก็กลับลงมา โดยที่พีกกว่านั้นคือศูนย์ที่ว่านี่ ค่าก่อสร้างก็ไม่ได้รวมอยู่ในงบโครงการกระเช้า เพราะถ้ารวมก็เจ๊งอีกอยู่ดี คือ อันนี้ชัดเจนว่าพยายามแต่งตัวเลขให้โครงการคุ้มทุน 3.เอาแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็ไม่ควรสร้างแล้ว เพราะลำพังตัวโครงการเองมันไม่คุ้มทุน ประเทศไทยไม่ได้ร่ำรวยขนาดจะสร้างโครงการที่ไม่จำเป็น ดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องคอยเอางบมาเติม หรือต้องปล่อยพังเสียหาย ใช้การไม่ได้ เพราะไม่มีงบมาเติม รอบนี้ได้ข่าวว่าจะศึกษาใหม่อีก ตามที่ได้ยินมาคือเสียเงินอีก 25 ล้านบาท มันมีอะไรเปลี่ยนไปหรือถึงจะต้องศึกษาใหม่ ? บางทีก็ไม่เข้าใจว่าประเทศนี้ นึกอยากจะเสียเงินค่าศึกษาอะไรก็ศึกษา คิดโครงการอะไรขึ้นมาก็ได้ ขุดโครงการอะไรขึ้นมาจากหลุมมาศึกษาใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ คือ แค่ค่าศึกษานี่ ถ้าเอาไปทำอย่างอื่น ก็ได้ตั้งเยอะแยะแล้ว ตั้งคำถาม 3 ประการ คุ้มค่าจริงหรือไม่ สอดคล้องกับที่ นายศศิน เฉลิมลาภ อดีตเลขาธิการ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ที่ได้เคยโพสต์เฟซบุ๊ก ศศิน เฉลิมลาภ เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2568 ไว้ว่า ถ้าทำกระเช้าภูกระดึง จะมีสิ่งที่อาจเป็นประโยชน์หลายประการ ประการแรก ธุรกิจที่สัมพันธ์กับอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน อาคารพาณิชย์ ที่มีคนครอบครองอยู่รอบๆ ภูเขาภูกระดึง และเส้นทางสู่ภูกระดึงจะคึกคัก ทั้งการเพิ่มมูลค่า การหมุนเวียนของเม็ดเงินต่างๆ ในการขยายกิจการเพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะมีมากขึ้น และหมุนเวียนมาเยือนเพื่อขึ้นลงกระเช้าไปที่ราบกว้างใหญ่บนยอดเขา ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้สองเท้าเดิน ประการที่สอง ทำให้คนที่คิดว่าตัวเองขึ้นไม่ไหว ไม่มีเวลา และไม่กล้าขึ้น รวมถึงผู้มีข้อจำกัดเรื่องอายุและสภาพร่างกายมีโอกาสขึ้นไปได้ และกระเช้าไฟฟ้าอาจช่วยนำคนเจ็บป่วย บาดเจ็บ ขยะ ขนส่งข้าวปลาอาหาร เครื่องใช้ขึ้นไปได้ง่ายขึ้น นี่เป็นเหตุผลง่ายๆ ไม่ซับซ้อน และไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น แต่มันน่าเบื่อมากๆ เวลามีคนดีเบตกัน บนเรื่องอะไรที่ เฟก ๆแบบนี้ เพราะมันเถียงในเรื่องที่ไม่ใช่สาระสำคัญของบริบทที่แท้จริง ปีนี้ถ้าจะคุยกัน มันควรต้องเป็นเรื่องธุรกิจเที่ยวภูกระดึงและเลยจะคุ้ม จะเจ๊ง จะไปต่อยังไง ตามจินตนาการของนักธุรกิจที่จ้องจะหาผลประโยชน์ คุยกันตรงๆ มองภูกระดึงเป็นต้นทุนที่เจ๊งได้และจะไม่กลับคืน แน่นอนว่าไม่มีใครรับผิดชอบอะไรได้ เพราะเป้าหมายแท้จริงของมันคือการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว ที่จะมาจังหวัดและอำเภอรอบๆภูเขาภูกระดึง เพื่อขยายต่อยอดธุรกิจต่างๆ นี่ต่างหากที่คือความต้องการที่แท้จริง ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่คิดจะพัฒนาบ้านเมือง แต่ปัญหาคือความคุ้มค่าที่จะเกิดขึ้นจริงๆ ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะทำกำไรได้จริงไหมจากการเที่ยวกระเช้าบนภูเขาลูกนี้เพราะ คนอยากได้กระเช้า คือนักธุรกิจในจังหวัด ที่ต้องการ mass tourism ให้มาภูกระดึงเยอะๆเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดครับ ดังนั้นหากไปจำกัดสารพัด มันก็ไม่ตอบโจทย์ที่จะเพิ่มจำนวน นักท่องเที่ยวในจังหวัด แต่พอนักท่องเที่ยวเยอะ ๆ มันก็พัง ไม่สวย สักพักก็ไม่มีจุดขาย หรือ ต้องทำตลาดว่ามาขึ้นกระเช้าเล่นสักครั้งในชีวิต แล้วหาลูกค้าขึ้นกระเช้าหน้าใหม่ไปเรื่อยๆ อีกอย่าง ข้อจำกัดภูกระดึงมันมีมาก ถ้าไม่ใช่ ต.ค.- ธ.ค. มันก็ไม่สวยแล้ว ไม่รู้จะขึ้นไปดูอะไร ม.ค. - เม.ย. นี่แห้งมากแล้ว พอ พ.ค. - ก.ย. มันฝนและมีแต่หมอก ฟ้าผ่า ลมแรง อันตราย ปกติจะปิดให้ฟื้นตัว แต่ถ้ามีกระเช้า เอาให้คุ้มก็ต้nova88 compg ถอน ไม่มี ขั้น ต่ําองเปิด ซึ่งผมว่ามันก็ไม่น่าเที่ยว เพราะดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก ไม่เห็น ทากก็เยอะ หมอกบังวิว มันก็ไม่น่าเที่ยวอีก ดังนั้นกระเช้ามันก็ไม่สามารถทำให้คนมาเที่ยวเยอะๆ แล้วได้ทั้งปี คนอยากได้ ที่มีที่มีทาง หรือทำธุรกิจอยู่แล้วเบื้องต้น ขอแค่เริ่มมีโครงการ ก็เพิ่มมูลค่าธุรกิจ ปั่นราคาซื้อขายได้แล้ว ส่วนคนถูกขายฝันก็มีความหวังส่วนยาวๆ ก็ไปเสี่ยงเอาข้างหน้า อะไรจะเสียหาย มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องสนใจ ไม่ใช่เรื่อง สิ่งแวดล้อม หรือ อนุรักษ์อะไร เลยนะครับ เกือบสิบปีที่แล้วผมถามคำถามไว้ 3 ระดับ จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ไม่เห็นใครมาตอบคำถามผมเลยนะ คุยกันแต่เรื่องน่าเบื่อเดิมๆ ผมว่าผู้บริหารกรมอุทยานกล้าๆ มาตอบคำถามสามข้อนี้หน่อย มันไม่มีถูกผิดหรอกครับ แต่มันจะส่อให้เห็นตัวตนของคุณ #ระดับที่ 1 ภูกระดึงเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเดินขึ้นเขาที่เป็น Trekking trail ที่ดีที่สุดของประเทศ เมื่อประเมินจากระยะทางที่ไม่ไกลมาก แทบไม่มีอันตรายอะไรถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุจากความประมาท การจัดการที่ลงตัว มีค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวไม่แพง รวมถึงเมื่อขึ้นไปแล้วมีที่สวยๆ ให้เดินเที่ยวมากมาย เรียกว่าคุ้มค่าเดินขึ้นและเดินเที่ยว สิ่งที่ว่ามาทำให้ภูเขาลูกนี้ทำหน้าที่มอบความรักธรรมชาติ ให้เราได้ซึมซับความงามทั้งจากธรรมชาติและมิตรภาพระหว่างทาง รวมถึงการเรียนรู้ที่บังเกิดขึ้นมากมายระหว่างความอดทนตอนเดินขึ้น สถานที่แบบนี้ในไทยมีที่เดียวคือ “ภูกระดึง” ส่วนที่อื่นๆ มีถนนขึ้นถึง หรือเดินไกลเกินไป เดินไปถึงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ดูมากนัก ดังนั้น เมื่อมีกระเช้า ความท้าทายให้ไปถึงเรื่องที่ว่ามา ย่อมสู้ความสบายเย้ายวนจากการขึ้นกระเช้าไม่ได้คนจะเดินขึ้นก็คงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย พวกที่เลือกเดินจึงเป็นคนที่รักธรรมชาติมากมายอยู่แล้ว คนที่ขึ้นกระเช้าไปก็ไม่ได้ซึมซับอะไร ไม่ต่างจากการขับรถขึ้นภูเรือ ดอยอินทนนท์ หรือภูเขาอื่นๆ ที่กลับมาแล้วไม่มีความหมายอะไร ภูกระดึงทำหน้าที่นี้ให้ประเทศไทยมากว่า 50 ปี ตั้งแต่รุ่นปู่จนถึงปัจจุบัน การมีกระเช้าหมายถึงเราเลิกใช้ฟังก์ชันนี้ของภูกระดึงแล้ว จะเทียบไปคงเหมือนเปลี่ยนวัด โบสถ์ วิหาร เป็นบอร์ดนิทรรศการพุทธศาสนา นี่คือเรื่องที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจจะเลือกทิ้งคุณค่าจากสิ่งนี้ไปหรือไม่ #ระดับที่ 2 จากผลการศึกษาและการออกแบบระบบกระเช้า คาดว่ามีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย (เช่นตัดต้นไม้ไม่กี่ต้น) แต่ผลที่ตามมาหลังจากมีกระเช้า ยังไม่มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เช่นเมื่อคนจำนวนมากขึ้นไปข้างบนแล้วจะต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมแน่ๆ เช่น อาคารกลางแหล่งธรรมชาติที่สำคัญคือ ถนนหนทางข้างบนที่ต้องรองรับผู้มาเยือนที่ไม่เตรียมตัวไป “เดิน” และไม่พร้อมจะรับรู้ทั้งนั้นว่าทำไมไม่มีรถวิ่งไปชมที่ท่องเที่ยวที่ห่างจากสถานีกระเช้าหลายกิโลเมตรในแต่ละที่ รวมถึงการจำกัดคนค้างแรม การจัดการขยะ ต่างๆ ภายใต้สถานภาพความเป็นอุทยานแห่งชาติ ที่มีข้อจำกัดเรื่องกฎหมาย กำลังคน งบประมาณในการดูแลให้คงสภาพธรรมชาติ เราพร้อมจะปล่อยให้ที่สวยๆ ข้างบนพังไปอีกที่ใช่หรือไม่ #ระดับที่ 3 ถ้ามีคนขึ้นไปจำนวนมาก เราพร้อมเปลี่ยนพื้นที่อนุรักษ์อันอุดมด้วยธรรมชาติไปรองรับการบริการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวข้างบนในอนาคตเลยหรือไม่ หากนโยบายวันข้างหน้าจะเอาอย่างนั้น ยกเลิกพื้นที่อุทยานแห่งชาติไปเลย นี่คือเรื่องที่ต้องตัดสินใจตามกระเช้ามาในระดับท้ายสุด เรื่องก็ไม่มีอะไรมากกว่านี้ อ่านข่าว : "สรวงศ์" เคาะไทม์ไลน์ 2 ปี ปักหมุดสร้าง "กระเช้าภูกระดึง" มูลนิธิสืบฯ แถลงการณ์ค้านก่อสร้าง "กระเช้าภูกระดึง" ดัน “กระเช้าภูกระดึง” 2 ปีแบบก่อสร้างชัด
โครงการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง จ.เลย ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง ในยุครัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐม
วันนี้ (12 ก.พ.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
นายกฯยันชดเชยเกษตรกรจากน้ำท่วม 2,222บาท/ไร่ นายกรัฐมนตรีเผยเตรียมเงินชดเชยเกษตรกรถูกน้ำท่วม 2,222บาท
โครงการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง จ.เลย ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง ในยุครัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ล่าสุด นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ได้ประกาศเดินหน้าโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาล ทำให้มีกระแสวิพากษ์ วิจารณ์ และตั้งข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงสิ่งแวดล้อม ตั้งข้อสังเกต ตกแต่งตัวเลขให้โครงการ "คุ้มทุน" ดังเช่น นายนณณ์ ผาณิตวงศ์ นักวิชาการอิสระ และ กรรมการมูลนิธิโลกสีเขียว ที่โพสต์ในเฟซบุ๊ก Nonn Panitvong ถึงการสร้างกระเช้าภูกระดึง โดยมีเนื้อหา ดังนี้ เบื่อกระเช้าภูกระดึง คือ จากผลการศึกษาล่าสุด ของใครทำไว้ไม่รู้จำไม่ได้แล้ว ขอสรุปเร็ว ๆ ดังนี้ 1. ด้วยเทคโนโลยีการสร้างในปัจจุบัน ตัวกระเช้าเอง ไม่ได้สร้างผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมเท่าไหร่ ลำพังสร้างกระเช้าไม่ใช่ปัญหา 2.แต่ผลการศึกษาทางด้านเศรษฐกิจ มันระบุว่า ตัวงบประมาณที่จะใช้สร้างและการดูแลรักษา ลำพังนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวทั่ว ๆ ไปมันไม่เพียงพอที่จะให้คุ้มทุนได้เพราะ ตัวภูกระดึงเองเป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดดเดี่ยว ใครจะมาตรงนั้นคือจะมาภูกระดึงเท่านั้น ซึ่งพอขึ้นไปข้างบนมันไม่ได้มีอะไรที่จะรับการท่องเที่ยวให้คนมาเยอะแยะได้ และไม่มีอะไรดึงดูดให้คนขึ้นไปชมวิวแล้วกลับ เหมือนสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆแห่งในต่างประเทศที่ให้ขึ้นไปดูวิว หรือไหว้พระ แบบเป็นนักท่องเที่ยวด่วนๆ อยู่ไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมงก็กลับ มันไม่มีอะไรรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นเลย ดังนั้น... มันมีการยัดโครงการศูนย์ศึกษาธรรมชาติอะไรไม่รู้ไว้ข้างบนหลังแปด้วย แล้วก็คาดการณ์ให้มันคุ้มทุนว่า จะมีนักเรียนหรือใครก็ไม่รู้ขึ้นไปเพื่อเที่ยวศูนย์ที่ว่านี่แล้วก็กลับลงมา โดยที่พีกกว่านั้นคือศูนย์ที่ว่านี่ ค่าก่อสร้างก็ไม่ได้รวมอยู่ในงบโครงการกระเช้า เพราะถ้ารวมก็เจ๊งอีกอยู่ดี คือ อันนี้ชัดเจนว่าพยายามแต่งตัวเลขให้โครงการคุ้มทุน 3.เอาแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็ไม่ควรสร้างแล้ว เพราะลำพังตัวโครงการเองมันไม่คุ้มทุน ประเทศไทยไม่ได้ร่ำรวยขนาดจะสร้างโครงการที่ไม่จำเป็น ดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องคอยเอางบมาเติม หรือต้องปล่อยพังเสียหาย ใช้การไม่ได้ เพราะไม่มีงบมาเติม รอบนี้ได้ข่าวว่าจะศึกษาใหม่อีก ตามที่ได้ยินมาคือเสียเงินอีก 25 ล้านบาท มันมีอะไรเปลี่ยนไปหรือถึงจะต้องศึกษาใหม่ ? บางทีก็ไม่เข้าใจว่าประเทศนี้ นึกอยากจะเสียเงินค่าศึกษาอะไรก็ศึกษา คิดโครงการอะไรขึ้นมาก็ได้ ขุดโครงการอะไรขึ้นมาจากหลุมมาศึกษาใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ คือ แค่ค่าศึกษานี่ ถ้าเอาไปทำอย่างอื่น ก็ได้ตั้งเยอะแยะแล้ว ตั้งคำถาม 3 ประการ คุ้มค่าจริงหรือไม่ สอดคล้องกับที่ นายศศิน เฉลิมลาภ อดีตเลขาธิการ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ที่ได้เคยโพสต์เฟซบุ๊ก ศศิน เฉลิมลาภ เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2568 ไว้ว่า ถ้าทำกระเช้าภูกระดึง จะมีสิ่งที่อาจเป็นประโยชน์หลายประการ ประการแรก ธุรกิจที่สัมพันธ์กับอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน อาคารพาณิชย์ ที่มีคนครอบครองอยู่รอบๆ ภูเขาภูกระดึง และเส้นทางสู่ภูกระดึงจะคึกคัก ทั้งการเพิ่มมูลค่า การหมุนเวียนของเม็ดเงินต่างๆ ในการขยายกิจการเพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะมีมากขึ้น และหมุนเวียนมาเยือนเพื่อขึ้นลงกระเช้าไปที่ราบกว้างใหญ่บนยอดเขา ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้สองเท้าเดิน ประการที่สอง ทำให้คนที่คิดว่าตัวเองขึ้นไม่ไหว ไม่มีเวลา และไม่กล้าขึ้น รวมถึงผู้มีข้อจำกัดเรื่องอายุและสภาพร่างกายมีโอกาสขึ้นไปได้ และกระเช้าไฟฟ้าอาจช่วยนำคนเจ็บป่วย บาดเจ็บ ขยะ ขนส่งข้าวปลาอาหาร เครื่องใช้ขึ้นไปได้ง่ายขึ้น นี่เป็นเหตุผลง่ายๆ ไม่ซับซ้อน และไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น แต่มันน่าเบื่อมากๆ เวลามีคนดีเบตกัน บนเรื่องอะไรที่ เฟก ๆแบบนี้ เพราะมันเถียงในเรื่องที่ไม่ใช่สาระสำคัญของบริบทที่แท้จริง ปีนี้ถ้าจะคุยกัน มันควรต้องเป็นเรื่องธุรกิจเที่ยวภูกระดึงและเลยจะคุ้ม จะเจ๊ง จะไปต่อยังไง ตามจินตนาการของนักธุรกิจที่จ้องจะหาผลประโยชน์ คุยกันตรงๆ มองภูกระดึงเป็นต้นทุนที่เจ๊งได้และจะไม่กลับคืน แน่นอนว่าไม่มีใครรับผิดชอบอะไรได้ เพราะเป้าหมายแท้จริงของมันคือการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว ที่จะมาจังหวัดและอำเภอรอบๆภูเขาภูกระดึง เพื่อขยายต่อยอดธุรกิจต่างๆ นี่ต่างหากที่คือความต้องการที่แท้จริง ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่คิดจะพัฒนาบ้านเมือง แต่ปัญหาคือความคุ้มค่าที่จะเกิดขึ้นจริงๆ ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะทำกำไรได้จริงไหมจากการเที่ยวกระเช้าบนภูเขาลูกนี้เพราะ คนอยากได้กระเช้า คือนักธุรกิจในจังหวัด ที่ต้องการ mass tourism ให้มาภูกระดึงเยอะๆเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดครับ ดังนั้นหากไปจำกัดสารพัด มันก็ไม่ตอบโจทย์ที่จะเพิ่มจำนวน นักท่องเที่ยวในจังหวัด แต่พอนักท่องเที่ยวเยอะ ๆ มันก็พัง ไม่สวย สักพักก็ไม่มีจุดขาย หรือ ต้องทำตลาดว่ามาขึ้นกระเช้าเล่นสักครั้งในชีวิต แล้วหาลูกค้าขึ้นกระเช้าหน้าใหม่ไปเรื่อยๆ อีกอย่าง ข้อจำกัดภูกระดึงมันมีมาก ถ้าไม่ใช่ ต.ค.- ธ.ค. มันก็ไม่สวยแล้ว ไม่รู้จะขึ้นไปดูอะไร ม.ค. - เม.ย. นี่แห้งมากแล้ว พอ พ.ค. - ก.ย. มันฝนและมีแต่หมอก ฟ้าผ่า ลมแรง อันตราย ปกติจะปิดให้ฟื้นตัว แต่ถ้ามีกระเช้า เอาให้คุ้มก็ต้nova88 compg ถอน ไม่มี ขั้น ต่ําองเปิด ซึ่งผมว่ามันก็ไม่น่าเที่ยว เพราะดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก ไม่เห็น ทากก็เยอะ หมอกบังวิว มันก็ไม่น่าเที่ยวอีก ดังนั้นกระเช้ามันก็ไม่สามารถทำให้คนมาเที่ยวเยอะๆ แล้วได้ทั้งปี คนอยากได้ ที่มีที่มีทาง หรือทำธุรกิจอยู่แล้วเบื้องต้น ขอแค่เริ่มมีโครงการ ก็เพิ่มมูลค่าธุรกิจ ปั่นราคาซื้อขายได้แล้ว ส่วนคนถูกขายฝันก็มีความหวังส่วนยาวๆ ก็ไปเสี่ยงเอาข้างหน้า อะไรจะเสียหาย มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องสนใจ ไม่ใช่เรื่อง สิ่งแวดล้อม หรือ อนุรักษ์อะไร เลยนะครับ เกือบสิบปีที่แล้วผมถามคำถามไว้ 3 ระดับ จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ไม่เห็นใครมาตอบคำถามผมเลยนะ คุยกันแต่เรื่องน่าเบื่อเดิมๆ ผมว่าผู้บริหารกรมอุทยานกล้าๆ มาตอบคำถามสามข้อนี้หน่อย มันไม่มีถูกผิดหรอกครับ แต่มันจะส่อให้เห็นตัวตนของคุณ #ระดับที่ 1 ภูกระดึงเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเดินขึ้นเขาที่เป็น Trekking trail ที่ดีที่สุดของประเทศ เมื่อประเมินจากระยะทางที่ไม่ไกลมาก แทบไม่มีอันตรายอะไรถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุจากความประมาท การจัดการที่ลงตัว มีค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวไม่แพง รวมถึงเมื่อขึ้นไปแล้วมีที่สวยๆ ให้เดินเที่ยวมากมาย เรียกว่าคุ้มค่าเดินขึ้นและเดินเที่ยว สิ่งที่ว่ามาทำให้ภูเขาลูกนี้ทำหน้าที่มอบความรักธรรมชาติ ให้เราได้ซึมซับความงามทั้งจากธรรมชาติและมิตรภาพระหว่างทาง รวมถึงการเรียนรู้ที่บังเกิดขึ้นมากมายระหว่างความอดทนตอนเดินขึ้น สถานที่แบบนี้ในไทยมีที่เดียวคือ “ภูกระดึง” ส่วนที่อื่นๆ มีถนนขึ้นถึง หรือเดินไกลเกินไป เดินไปถึงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ดูมากนัก ดังนั้น เมื่อมีกระเช้า ความท้าทายให้ไปถึงเรื่องที่ว่ามา ย่อมสู้ความสบายเย้ายวนจากการขึ้นกระเช้าไม่ได้คนจะเดินขึ้นก็คงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย พวกที่เลือกเดินจึงเป็นคนที่รักธรรมชาติมากมายอยู่แล้ว คนที่ขึ้นกระเช้าไปก็ไม่ได้ซึมซับอะไร ไม่ต่างจากการขับรถขึ้นภูเรือ ดอยอินทนนท์ หรือภูเขาอื่นๆ ที่กลับมาแล้วไม่มีความหมายอะไร ภูกระดึงทำหน้าที่นี้ให้ประเทศไทยมากว่า 50 ปี ตั้งแต่รุ่นปู่จนถึงปัจจุบัน การมีกระเช้าหมายถึงเราเลิกใช้ฟังก์ชันนี้ของภูกระดึงแล้ว จะเทียบไปคงเหมือนเปลี่ยนวัด โบสถ์ วิหาร เป็นบอร์ดนิทรรศการพุทธศาสนา นี่คือเรื่องที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจจะเลือกทิ้งคุณค่าจากสิ่งนี้ไปหรือไม่ #ระดับที่ 2 จากผลการศึกษาและการออกแบบระบบกระเช้า คาดว่ามีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย (เช่นตัดต้นไม้ไม่กี่ต้น) แต่ผลที่ตามมาหลังจากมีกระเช้า ยังไม่มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เช่นเมื่อคนจำนวนมากขึ้นไปข้างบนแล้วจะต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมแน่ๆ เช่น อาคารกลางแหล่งธรรมชาติที่สำคัญคือ ถนนหนทางข้างบนที่ต้องรองรับผู้มาเยือนที่ไม่เตรียมตัวไป “เดิน” และไม่พร้อมจะรับรู้ทั้งนั้นว่าทำไมไม่มีรถวิ่งไปชมที่ท่องเที่ยวที่ห่างจากสถานีกระเช้าหลายกิโลเมตรในแต่ละที่ รวมถึงการจำกัดคนค้างแรม การจัดการขยะ ต่างๆ ภายใต้สถานภาพความเป็นอุทยานแห่งชาติ ที่มีข้อจำกัดเรื่องกฎหมาย กำลังคน งบประมาณในการดูแลให้คงสภาพธรรมชาติ เราพร้อมจะปล่อยให้ที่สวยๆ ข้างบนพังไปอีกที่ใช่หรือไม่ #ระดับที่ 3 ถ้ามีคนขึ้นไปจำนวนมาก เราพร้อมเปลี่ยนพื้นที่อนุรักษ์อันอุดมด้วยธรรมชาติไปรองรับการบริการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวข้างบนในอนาคตเลยหรือไม่ หากนโยบายวันข้างหน้าจะเอาอย่างนั้น ยกเลิกพื้นที่อุทยานแห่งชาติไปเลย นี่คือเรื่องที่ต้องตัดสินใจตามกระเช้ามาในระดับท้ายสุด เรื่องก็ไม่มีอะไรมากกว่านี้ อ่านข่าว : "สรวงศ์" เคาะไทม์ไลน์ 2 ปี ปักหมุดสร้าง "กระเช้าภูกระดึง" มูลนิธิสืบฯ แถลงการณ์ค้านก่อสร้าง "กระเช้าภูกระดึง" ดัน “กระเช้าภูกระดึง” 2 ปีแบบก่อสร้างชัด
เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2565 ศาลอาญาพระโขนง นัดฟังคำพิพากษาที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 3 และนางฮวย ศร